นักการเมืองที่จะต้องถูกฟ้องร้องในข้อหาทุจริต มีสิทธิไปใช้ชีวิตในเรือนจำ และก็เป็นไปตามคาด นั่นคือ
เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2554 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ประทับรับฟ้องคดี ที่ป.ป.ช.เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯกทม.ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ (ฮั้วประมูล) พ.ศ. 2542 จากกรณีการจัดซื้อรถ และเรือดับเพลิง พร้อมอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัย ตามโครงการพัฒนาระบบบริหารและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพมหานคร มูลค่า 6,687,489,000 บาท
นอกจากเรื่องทุจริตเรือและรถดับเพลิง นายอภิรักษ์ฯ ก็ยังถูกอดีตปลัด กทม. คือ คุณหญิง ณัฐนนท์ ทวีสิน ร้องเรียนกล่าวหาว่าทุจริต การจัดซื้อรถโดยสารประจำทาง ชนิดใช้ก๊าซเอ็นจีวี ในโครงการรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษ (บีอาร์ที) เมื่อปี 2547 ของกรุงเทพมหานคร จำนวน 45 คัน วงเงิน 368 ล้านบาท
ซื้อกันในราคา...แพงเกินจริง!
คดีนี้ ผู้อำนวยการสำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้เดินไปยื่นสำนวนการไต่สวนและหลักฐานการทุจริตการจัดซื้อ ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แล้วตั้งแต่ 3 กรกฎาคม 2552
เวลาล่วงมาเป็นเวลานานกว่า 2 ปี แต่ทาง ป.ป.ช. ยังเก็บเรื่องดองไว้ ไม่กระดิกกระเดี้ยไปถึงไหน ทุเรศมาก!
ดังนั้น คุณหน่วยงานที่ไร้สมรรถภาพอย่าง ป.ป.ช. ที่ทำให้การปราบปรามคอรัปชั่นของประเทศ ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
อยากชี้ให้เห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์นั้น ไม่เคยสนใจใยดีว่าคนของตน จะมีเบื้องหลังจากทุจริตอย่างไร ขอเพียงให้พรรคได้ประโยชน์ พรรคดักดานก็สนับสนุนอย่างเต็มที่ ไม่ฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนในบ้านนี้เมืองนี้
จึงไม่น่าแปลก ที่คนอย่างนายอภิรักษ์ ซึ่งมีแผลทุจริตเหวอะหวะเต็มตัวอย่างนี้ จนเจ้าตัวเองยังต้องลาออกจากตำแหน่งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร แต่พรรคประชาธิปัตย์กลับไม่สำนึก หัวหน้าพรรคอย่างนายมาร์ค มุกควาย ยังผลักไสให้นายอภิรักษ์ไปลงเลือกตั้ง เป็น ส.ส.กทม. อีกครั้ง ในสมัยรัฐบาลที่แล้ว โดยให้ลงเลือกตั้งซ่อม
คุณพรรคเวรนี่ยังทำหน้าหนา ส่งลงเลือกตั้งอีก และเมื่อมีการยุบสภา ก็โยกเอานายคนนี้ ไปลงแบบสัดส่วนอีก
ผมได้วิพากษ์วิจารณ์ว่า นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ออกจากตำแหน่งผู้ว่าฯนั้น ไม่ได้ไปแต่ตัว แต่ได้ทิ้งภาระหนี้สินที่เป็นปัญหา ไว้ให้ กทม. แก้ไขอย่างมากมาย แถมยังเพิ่มค่าอนุญาโตฯและค่าทนายความ อีกกว่า...ค่อนพันล้านบาท
ผลพวงการกระทำของนายอภิรักษ์ฯ ไม่ผิดอะไรกับการทิ้ง “ขี้กองโต” เอาไว้ให้ "สุขุมพันธุ์ไวน์" ต้องมาล้างตามเช็ด จนเวลาผ่านมาหลายปี แต่เราก็ยังมองไม่เห็น ‘จุดจบ’ ของมหากาพย์แห่งการทุจริต ที่น่าเกลียดน่าชังนี้ แต่อย่างใด
ที่แทงใจชาวบ้านทุกวันนี้ “ซากรถรถดับเพลิง” ที่จะกลายเศษเหล็กกองมหึมา เอาไว้ให้คนกรุงดูเป็น ‘อนุสาวรีย์’ ผลงาน “โลซก” ของพรรคดักดานต่อไป!
เงินของชาติจำนวนหลายพันล้านบาท กำลังกลายเป็นเศษเหล็กกองพะเนินเทินทึก
น่าเศร้าใจจริงๆ เพราะเงินหลายพันล้าน ต้องสูญเปล่าไปโดยไร้ประโยชน์
เป็นผลงานอัปรีย์ของคุณพวกกาลี ที่มันรุมกัน “แดกบ้านและผลาญเมือง” ของพวกเราคนไทยนั่นเอง
ดังนั้น การที่พรรคเพื่อไทย จะตรวจสอบ172 โครงการของรัฐบาลเก่า จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องชอบธรรม เพราะต้องมีเรื่องราวทุจริต หมกเม็ด ซุกซ่อนอยู่มากมาย โดยเฉพาะโครงการ
ไทยเข้มแข็ง!
โครงการดังกล่าว นอกจากเรื่องทุจริตแล้ว ยังมีการใช้จ่ายที่ไร้สาระ เอาเงินไปอุดหนุนบริษัทภาพยนตร์ อย่างไม่มีเหตุผล เช่น
ให้เงินสหมงคล ที่ร่ำรวยอยู่แล้ว ไปเป็นเงินถึง 8 ล้านบาท เพื่อเอาไปสร้างหนังเรื่อง “คนโขน” ของพวดพันธมิตรสร้างออกมา
หนังที่สร้างออกมา ก็ไม่ได้ดีเด่แต่อย่างใด เป็นหนังธรรมดาเท่านั้น ขนาดมีเงินช่วยมา 8 ล้านแล้ว
แต่...
ไม่น่าเชื่อว่า รอบที่ผมไปดู มีคนอยู่ไม่ถึง 10 คน ทั้งๆที่หนังเพิ่งเข้าแท้ๆ!
รายได้โรงใหญ่เขาบอกว่า ได้แค่ 4 ล้านบาท เท่านั้นเอง!
การโกงกินกันอย่างมูมมาม แต่ผลงานห่วยแตก ให้กว้างขวางออกไป อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
รัฐบาลนายกฯปูโชคดี สามารถมุ่งหน้าทำงาน แก้ไขปัญหาบ้านเมืองไปได้ ด้วยความสบายใจ เพราะไม่ว่าจะบริหารอย่างไรก็ตาม
ไม่มีทางจะเลวเกินไปกว่า...รัฐบาลชุดที่แล้วได้!