อีกเหตุการณ์หนึ่งเป็นข่าวเล็กๆภาคดึก คือองค์กรท้องถิ่นที่จังหวัดตากจะเข้าชื่อกันขับไล่ อธิบดีกรมชลประทาน ด้วยว่าได้เคยทำหนังสือไปยังกรมชลประทานแล้วว่า ปีนี้น้ำเหนือหลากมาขอให้เขื่อนระบายน้ำหรือพร่องน้ำไว้ล่วงหน้า เพื่อรอรับน้ำเหนือ แต่อธิบดีกรมชลประทานตอบกลับมาว่าปีนี้จะขาดน้ำ มีภัยแล้ง จึงไม่อนุญาตให้ระบายน้ำจากเขื่อน
เหตุการณ์นี้ต้องเกิดหลัง พ.ค.เพราะน้ำเหนือเพิ่งมากต้นเดือน พ.ค. และกำลังเดินทางลงมาจังหวัดตาก ทำให้สงสัยในแนวคิดของกรมชลประทานอย่างมากเพราะเดือน มี.ค.กีมีฝนมาก กรมอุตุฯก็บอกว่าปีนี้น้ำจะมาก เพราะปรากฏการณ์โลกร้อน
ใครๆก็รู้ยกเว้น กรมชลประทาน น่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง และที่น่าคิดคือ กว่าน้ำจะมาถึงเขื่อนก็สามารถจะคำนวณได้ว่าน้ำจะมาเท่าไร ถ้าเรื่องอย่างนี้คำนวณไม่ได้ อย่ารับพวกวิศวกรรมชลประทานมาทำงานเลย เปลืองข้าวสุกเปล่าๆ
ประเด็นที่สิบ ขอเจาะปัญหาที่ กทม.
เรารู้หรอกว่าคนละพรรคกับรัฐบาล แต่ทำไมไม่ยอมช่วยระบายน้ำตั้งแต่ต้น ทำตัวเป็นเขื่อนกักน้ำอยู่ตลอดเวลา โชคดีที่รัฐบาลไหวทัน แม้จะช้าไปมากเพราะเชื่อใจเจ้าหน้าที่ และคนทำงานว่ าจะไม่ใจดำและโหดร้ายกับประชาชนทุกอย่างเป็นความเลินเล่อเท่านั้น
แต่เมื่อสถานการณ์มากขึ้นทุกทีก็พอจับทางได้ จึงพอกล้อมแกล้มไปได้
สิ่งที่น่าคิดคือ กทม.แถลงว่า เหตุที่ไม่ระบายน้ำเนื่องจากต้องระวังพายุจะเข้า เดี๋ยวคลองต่างๆจะรับน้ำไม่ไหว อันนี้เป็นบทที่มีคนเขียนให้หรือเปล่า คนวางแผนน่ะ เพราะปีนี้ประหลาดหนาวมาเร็ว ปกติต้องกลางพ.ย.ไปแล้วจึงหนาว และช่วงนี้ควรมีฝนตกภาคกลางตอนล่างคือ กทม.นั่นเอง หยิบบทที่เขาเขียนมาให้อ่านโดยไม่มีความรู้ทางวิชาการเลยนี่ก็เกินไป
ใครๆก็รู้ว่าหน้าหนาวมา พายุจะไปทางภาคใต้ ใกล้ไกลว่ากันอีกที
ประเด็นที่สิบเอ็ด พระสยามเทวาธิราชมีจริง อันนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เพียงแต่ไม่ได้เข้าข้างเผด็จการ แต่มาเข้าข้างประชาชน ตาดำๆ ใครเป็นคนไม่ดี คิดร้ายต่อบ้านเมือง สงสัยต้องมีอันพินาศไป
เพราะประเด็นนี้ก็เหมือนกับน้ำท่วมปี 53 ที่ผิดแผนเพราะเห็นพายุจะเข้าภาคอีสาน ก็ปล่อยน้ำจากเขื่อนมา แต่เจ้ากรรมพายุนั้นโดนอภินิหารพัดไปเข้าทางจีน จากนั้นก็เข้าหน้าหนาว คราวนี้ก็ไม่ต่างกัน แต่เพราะน้ำมามาก อภินิหารจึงบันดาลให้หมดหน้าฝนเร็วไปเกือบ 1 เดือนเต็ม
เรียกว่าพอหมดพรรษา หน้าฝนในภาคกลางก็หมดทันทีเหมือนกัน ทีนี้ก็เกิดปัญหาสิ เพราะน้ำไม่มากเท่าที่ควร ปกติจะเกิดปัญหาหนักนั้น ต้องมีฝน มีน้ำเหนือ มีน้ำทะเลหนุน
แต่จากการคำนวณรู้ว่า น้ำทะเลหนุนจะเป็นช่วงปลายตุลาคม ส่วนช่วงกลางถึงปลาย พ.ย.นั้นไม่มีความหมายแล้ว ดังนั้น ต้องคำนวณน้ำและดึงน้ำปริมาณมหาศาลให้ผ่านเข้ามาเขต กทม.ในปลายเดือน ต.ค.อย่างที่เป็นอยู่ขณะนี้ แต่เจ้ากรรมหรือเคราะห์ดีหรือพระสยามเทวาธิราชปกป้องคนดี ด้วยว่าเห็นมีประชาชนเสียชีวิตไปแล้วจำนวนมาก หมดเนื้อหมดตัวก็ทั้งประเทศ จึงบันดาลให้ฝนหยุดเสียก่อนสิ้นเดือนตุลาคม
เมื่อคำนวณแล้วตั้งแต่ เม.ย. หรือ พ.ค.ว่า น้ำเหนือกับน้ำทะเลหนุนจะมาบรรจบกันกลางเดือนถึงปลายเดือนตุลาคม การปล่อยน้ำ การทำฝนเทียมตั้งแต่ต้นปีสะสมน้ำ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ยกเว้นฝนจากฟ้า
ประเด็นที่สิบสอง ลองทบทวนความจำนิดหนึ่งจะเห็นว่า มีการพยายามดึงคำทำนายของพวกโหร คมช. หรือไปอาศัยอ้างอิงจากเกจิอาจารย์ทั้งหลาย
จะรู้ตัวหรือไม่รู้ก็ตามว่า สุภาพสตรีปกครองจะเกิดภัยและภัยนั้นมาจากน้ำเสียด้วย ลองไปหาวารสารรายสัปดาห์ของพวกเหลืองอ่านดูก็จะเห็นการตีข่าว และเผยแพร่ผ่านสื่อหลักของฝ่ายอำมาตย์มาล่วงหน้า เป็นการปูพื้นมาก่อนเกิดเหตุซึ่งเป็นแนวทางปกติของการสร้างบทละครแบบนี้อยู่แล้ว