|
k542
|
|
|
|
|
![]() |
|
|
|
k542
|
คุณk ครับ ผมแค่เปรียบเทียบว่า ถ้าต้องให้ผมไปกราบนายพระเกษม ผมขอยอมไปกราบหมาตัวนั้นดีกว่าครับ เข้าไจ๋??  อ้อ...เหรอ ขอโทษ... คิมเข้าใจผิด(ขำมากลืมทวนข้อความ) ตอนนี้ เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ
|
|
|
|
![]() |
|
|
|
|
พระดีๆที่น่าเคารพก็มีเยอะ คนที่ใช้ผ้าห่มหากินก็มีส่วนน้อย พวกเราควรเป็นหูเป็นตากัน
|
|
|
|
![]() |
|
|
lek88
|
ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาแค่ไหน จึงได้บังอาจชื้ผิด-ถูก ในพระสงฆ์องค์เจ้า
|
|
|
|
![]() |
|
|
ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาแค่ไหน จึงได้บังอาจชื้ผิด-ถูก ในพระสงฆ์องค์เจ้า
ศึกษามาน้อยมากครับ แต่อะไรที่ผิด ชัดเจน ผมก็กล้าฟันธงครับ แต่ผมยังไม่มีเวลาเขียนอธิบาย ถ้ามีเวลาว่าจะเขียนรายละเอียดของการผิดวินัยของนายคนนี้ ซึ่งผิดชัดเจนมากๆ ถ้าคุณลองอ่านข่าวให้มากๆนะครับลองเสิร์ชข่าวดุได้ แล้วคุณจะเจอข่าวพระผู้ใหญ้ชี้ชัดว่านายเกษมขาดความเป็นพระแล้ว ถ้ายังไม่เก็ตอีก ลองฟังพระพยอมแล้วกันตามนี้ ท่านพยอมอธิบายชัดเจนมากๆ
|
|
|
|
![]() |
|
![]() |
|
k542
|
ไม่ได้อยากเทศน์ให้คิมฟังหรอก?
แต่คิมฟังจบแล้ว
ขอบคุณมาก 
|
|
|
|
![]() |
|
ตถตา
|
บาปบุญอยู่ตรงไหนครับ แท้จริงบาปบุญ อยู่ในตัวคุณๆนั่นแหละ ยิ่งสำแดงกิริยาวาจาหยาบช้าออกมากเท่าไหร่ บาปบุญมันก็จะแสดงออกมาเองโดยปริยาย ผลสุดท้ายผู้แสดงนั่นแหละที่รับบุญบาป ประนามคนอื่นว่าชั่วเลวยังไม่พอ ยังกล่าวคำหยาบจาบจ้วง ทำไมไม่มองย้อนคำเหล่านั้นว่าแท้จริงมันกลับเข้าตัวคนพูด คนพูดพูดเช่นไร ก็สะท้อนถึงธรรมในใจของผู้นั้น ฝากผู้ที่ชอบพูดกล่าวร้ายผู้อื่นให้สำเนียกสำนึก ใช่ว่าพูดเอามันส์แค่สนุกปาก แต่พูดแล้วต้องมีสาระและมีธรรม ไม่เช่นนั้นท่านนั่นแหละครับคือบัวใต้น้ำ (คือโง่งมอยู่กับโทสะโมหะของตัวเอง)
|
|
|
|
![]() |
|
lek88
|
ฟังท่านพระพยอมตั้งแต่ต้นจนจบ ได้ความว่า พระเกษมไม่ผิด ครับ ตรงนี้ผมฟังผิดหรือเปล่า อีกประการหนึ่งที่สงสัย คือ พระพยอมท่านอธิบายว่า พระเกษมอ้างพระไตรปิฏก จึงเกิดคำถามขึ้นในใจว่า "เป็นพระ ถ้าไม่อ้างพระไตรปิฎก ไม่ยึดถือพระไตรปิฎกแล้ว จะให้อ้างอะไรครับ"
|
|
|
|
![]() |
|
|
บาปบุญอยู่ตรงไหนครับ แท้จริงบาปบุญ อยู่ในตัวคุณๆนั่นแหละ ยิ่งสำแดงกิริยาวาจาหยาบช้าออกมากเท่าไหร่ บาปบุญมันก็จะแสดงออกมาเองโดยปริยาย ผลสุดท้ายผู้แสดงนั่นแหละที่รับบุญบาป ประนามคนอื่นว่าชั่วเลวยังไม่พอ ยังกล่าวคำหยาบจาบจ้วง ทำไมไม่มองย้อนคำเหล่านั้นว่าแท้จริงมันกลับเข้าตัวคนพูด คนพูดพูดเช่นไร ก็สะท้อนถึงธรรมในใจของผู้นั้น ฝากผู้ที่ชอบพูดกล่าวร้ายผู้อื่นให้สำเนียกสำนึก ใช่ว่าพูดเอามันส์แค่สนุกปาก แต่พูดแล้วต้องมีสาระและมีธรรม ไม่เช่นนั้นท่านนั่นแหละครับคือบัวใต้น้ำ (คือโง่งมอยู่กับโทสะโมหะของตัวเอง)
นายเกษมใช้วิธีการตบหน้าพระพุทธรูป เพื่ออวดอ้างว่าอยากจะสอนธรรมเรื่องการไม่ไหว่พระ แต่คนอย่างนายเกษม ต้องโดนแบบที่ผมกระทำ ไม่เช่นนั้นคนลักษณะเช่นนั้นย่อมไม่สำนึก เพราะมีพระผู้ใหญ่เข้าไปเจรจาอย่างผู้มีธรรมแล้ว แต่นายเกษมไม่สำนึก ผมว่าที่คุณแนะนำมันกลับย้อนเข้าตัวคุณครับ เพราะคุณไม่ตีประเด็นของกระทู้ ถ้าจะเข้ามาสั่งสอนก็ให้มันชัดเจน อย่ามาแสดงภูมิธรรมอวดนัก นายเกษมผิดหรือไม่อย่างไร ว่ามา ถ้า อยากนอกประเด็น ก็ไปเจริญธรรมไกลๆเถอะ ท่านผุ้รู้ธรรม อย่าทำเป็นพหูสูตร แสดงธรรมอันน้อยนิดแต่เปี่ยมไปด้วยสำบัดสำนวน ถ้าคิดว่า อยากเป็นพหูสูตรทางธรรม ก็อย่าเข้ามากระทู้ผม ไปโน่นเว็บธรรมะโน่น ไปสอนพวกบัวแล้งน้ำไปๆ เพราะผมไม่ได้อยากสนทนาธรรมกับพวกอวดธรรม ถ้าคิดว่า คนเราห้ามด่าประณามคนอื่น ก็ช่วยหัดมองตัวเองบ้างว่า แม้จะใช้คำที่ดูสุภาพนุ่มนวลแต่ผลก็กลับเลวไม่ต่างกัน นั่นคือการเข้ามาประณามคนอื่นเช่นกัน คนอย่างผม ถ้าคิดว่าใครเลว ก็กล้าด่าเลวชัดๆ ไม่เป็นeแอบ เสแสร้งทำเป็นมาสอนธรรมะแต่ที่จริงคือเข้ามาด่า พวกนี้ มือถือสากจริงๆ คนอย่างผม ถ้าเห็นคนเลวก็ต้องบอกเลว ถ้าเห็นคนเลวมากๆ ผมก็กล้าประณามชัดเจน ไม่ใช่เหมือนบางคนเห็นคนเลว แต่ทำเป็นอ้างมีธรรมด่าคนอื่นเลวไม่ได้ เดี๋ยวตัวเองจะบาป แต่ความจริงแอบมาด่าแต่เอาธรรมะบังหน้า  ผมอาจเป็นบัวใต้น้ำ แต่คุณตถาตานั่นคือ พวกวิปัสสนูปกิเลส
ผมล่ะเบื่อพวกหลงตัวเองอวดธรรมแบบนายเกษมจริงๆ อ่านที่ผมเขียนแล้ว ก็ลองตรวจสอบจิตของคุณดูอีกทีแล้วกัน ว่าบรรลุขั้นไหน ผมว่าผมได้ช่วยให้คุณบรรลุเร็วขึ้นนะ
|
|
|
|
![]() |
|
|
ฟังท่านพระพยอมตั้งแต่ต้นจนจบ ได้ความว่า พระเกษมไม่ผิด ครับ ตรงนี้ผมฟังผิดหรือเปล่า อีกประการหนึ่งที่สงสัย คือ พระพยอมท่านอธิบายว่า พระเกษมอ้างพระไตรปิฏก จึงเกิดคำถามขึ้นในใจว่า "เป็นพระ ถ้าไม่อ้างพระไตรปิฎก ไม่ยึดถือพระไตรปิฎกแล้ว จะให้อ้างอะไรครับ"
พระพยอมบอกผิดครับ กลับไปดูใหม่นะ ส่วนเรื่องอ้างพระไตรปิฏก พระพยอมก็พูดเรื่องนี้ชัดเจน และ พระพยอมยังบอกว่าอย่างน้อยๆนายเกษมก็ผิดหลักเสขิยวัตรไปแล้ว http://news.sanook.com/1059193/พระพยอมเผย'พระเกษม'ทำผิดหลักเสขิยวัตร/แต่จากคลิปข่าว3มิติช่วงท้ายๆ นายเกษมก็กำลังสำคัญตัวเองว่าหลุดพ้นแล้วครับ อันนี้อาจผิดถึงปาราชิก แถมการบุกรุกป่า ผิดกฏหมายชัดเจน ขอใช้100ไร่ กันรุกไป3,500ไร่ แถมตัดต้นไม้ สร้างอาคารใหญ่โต ผิดหลักการของพระที่ไปขออยู่ป่า เพราะพระที่เข้าไปอยู่ป่า ก็จะพยายามรักษาต้นไม้ไว้ จะก่อสร้างเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ตอนนี้กำลังจะโดนข้อหาบุกรุกป่าแล้วครับ นายเกษม เป็นคนที่เรียนรู้พระไตรปิฏกเอง ตีความเอง แล้วก็เพี้ยนเองครับ ส่วนเรื่องมากกว่านี้ ผมยังไม่มีเวลาเขียน ไว้จะเขียนอธิบายรายละเอียดในโอกาสต่อไป คุณลองไปไล่อ่าน ศีล227ข้อ ดูตามลิงค์นี้ แล้วคุณจะเจอความผิดของนายเกษมมากมาย http://www.larnbuddhism.com/grammathan/siil227.html
|
|
|
|
![]() |
|
|
|
|
และขอยกที่ผมตอบคุณดงบาทา มาประกอบกระทู้นี้ตามนี้
V
V
"บทความนี้ เป็นภัยต่อผู้ที่ใช้ความรู้สึกในการอ่าน"ผู้ที่มองแนวคิดของคณะนิติราษฎร์ เป็นมหันตภัย หรือแนวคิดที่สุดโต่ง โดยส่วนมากมักจะเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์จากรัฐประหาร ดังนั้นกลุ่มนิติราษฎร์จึงถูกตราว่า เป็นนักวิชาการทักษิณ เมื่อสร้างให้ทักษิณ เป็นของต้องห้าม และน่ากลัวแล้ว ใครก็ตาม ไม่ว่าคุณจะเป็นนิติราษฎร์หรือไม่ใช่นิติราษฎร์แต่ถ้าหากที่มีแนวคิดหรือแนวทางแตกต่างไปจากพวกตน ก็จะต้องเป็นคนของทักษิณ ดังนั้นแนวคิดของอ.วรเจตน์และกลุ่มนิติราษฎร์แหลมคม เพราะทิ่มแทงฝ่ายอำนาจนิยม และศักดินาอนุรักษ์ทั้งหลาย ซึ่งแตกต่างจากส่วนนักวิชาการที่เอาตัวเองซุกใต้ปีกรัฐประหาร เพราะนักวิชาการเหล่านั้นได้ประโยชน์จากรัฐประหารในทางใดทางหนึ่งไม่ว่าเหตุผลกลใดก็ตาม.. หากลองถกเถียงเกียวกับแนวคิดของนิติราษฎร์ด้วยเหตุผล และหลักการ อย่างรอบด้านทุกองค์ประกอบ ไม่เอากรอบจารีตมาจับแล้ว ประโยชน์จักงอกเงยต่อสังคมไทยอย่างน้อยเมล็ดกล้าแห่งความไม่กลัวรัฐประหารได้ปลูกลงในดินแล้ว .... พระเกษมอยากดัง..แล้วงัย เถรสมาคม หรือ พระเถรานุเถรบางท่านบางสายหรือหลายสายไม่อยากดังเหรอ..หรือท่านทั้งหลายเคยเเป็นธุระ ชำระสะสางพุทธปรัชญา พุทธคำสอนในสังคมไทยอย่างตรงไปตรงมาอยู่ตลอดเวลา หรือว่าท่านทั้งหลายก็อ้อมค้อมมิให้กระทบลาภสักการะที่พึงมีได้จากคำสอนอยู่บ่อยครั้ง.....พระเกษมท่านโลกวัชช แต่ทว่าอย่างน้อยท่านก็เป็นหอกกลับทิ่มแทงเข้าในวงการสงฆ์และพระพุทธศาสนาในสังคมไทยอย่างแหลมคม..ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในประวัติศาสตร์ผู้นำหรือผู้มีอำนาจ มักจะเชื่อมโยงกับหลักศาสนาเพื่อค้ำจุนกันและกัน เห็นได้จากยุคมืดในยุโรปสมัยก่อนที่จะมีการปฏิวัติศิลปวิทยาการขึ้นมาใหม่ ตัวอย่างเพียงแค่เล็กน้อยช่วงปฏิวัติดังที่ปรากฎเช่น การปลุกเสกพระเครื่องรุ่นหนึ่งดังไปทั่วบ้านทั่วเมืองคงรู้นะหมายถึงรุ่นอะไร แต่พระเกษมกลับหาญกล้าเปล่งรัศมีแสงแห่งหิ่่งห้อยทอแสงตะวัน..ช่างบังเอิญเหลือกับท่านอ.เสถียรพงษ์ วรรณปก เขียนบทความว่าด้วย"พระพุทธเจ้าเสด็จบวชในเวลากลางวัน ท่ามกลางน้ำพระเนตรของพระมารดา เพราะว่าถูกขับออกจากสมาคมพระญาติเรื่องแย่งน้ำ" แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในพุทธประวัติที่ร่ำเรียนและสั่งสอนกันมาในสถานศึกษาของประเทศนี้ ปรากฎการณ์ของกลุ่มนิติราษฎร์ และพระเกษมคล้ายกันสิ่งหนึ่งคือ หอกทิ่มแทง อำนาจและศักดินา ปฏิเสธมิได้ว่าเมล็ดกล้าสองเม็ดนี้ได้ปลูกไปในแผ่นดินแล้ว...จะเติบโตหรือเหี่ยวเฉา ขึ้นอยุ่กับว่า คนไทยพิจารณาสิงต่างๆด้วยปัญญาที่ประกอบด้วยเหตผลมากน้อยเพียงใดเท่านั้นเอง.. หรือว่าหลายเรื่องในประเทศนี้จะไม่เดิมอีกต่อไป?     ดงบาทา [/color] พระที่ปลุกเสกให้คนหลงงมงายมีอยู่จริง แต่ไม่ใช่พระทั้งหมด การที่พระจะสอนให้คนเลิกหลงยึดติดวัตถุนิยม จนหลงงมงาย ทำได้ครับ แต่การเหมารวมว่าสร้างพระพุทธรูปผิดหมด นั่นคือ การหลงผิดของนายพระเกษม พระพยอม ท่านปัญญญา ท่านพุทธทาส ทุกรูปก็สอนให้คนอย่ายึดติดบูชาวัตถุ แต่พระทั้ง3 ก็ยังไหว้พระพุทธรูปเหมือนกัน นั่นเพราะการไหว้พระพุทธรูป อย่างไม่ยึดติด หรือหลงงมงาย ไม่ใช่เรื่องผิดครับ ประเด็นจึงไม่ใช่เรื่องการกราบไหว้พระพุทธรูป ครับ นายพระเกษม หลงผิด ไปยึดติดกับเรื่องการกราบไหว้เท่านั้น จนกระทำการย่ำยีพระพุทธรูปของพระเกษม ก็ไม่ต่างอะไรจาก พวกตาลีบัน!!เลย ส่วนเรื่อง นิติราษฎร์ก็กำลังหลงประเด็นเฉกเช่นนายพระเกษมเช่นกัน เชิญคุณดงบาทา ไปอ่านที่ผมเขียนได้ที่ http://akelovekae.blogspot.com/2011/09/blog-post_26.html
|
|
|
|
![]() |
|
lek88
|
"พระพยอมยังบอกว่าอย่างน้อยๆนายเกษมก็ผิดหลักเสขิยวัตรไปแล้ว"
เสขิยวัตรและสิกขาบทวิภังค์ (อาบัติทุกกฎ ไม่มีในพระบัญญัติ) และมิได้ทรงกล่าวในปาฎิโมกข์๑๕๐ ข้อเลย
ทรงพระบัญญัติไว้เพียง ว๋า "ภิกษุพีงทำความศึกษาว่า" ๑. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักนุ่งห่มให้เรียบร้อย. ไปในบ้าน.
๒. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักนุ่งห่มให้เรียบร้อย. ไปนั่งในบ้าน.
๓. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักปิดกายด้วยดี ไปในบ้าน.
๔. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักปิดกายด้วยดี ไปนั่งในบ้าน.
๕. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักระวังมือเท้าด้วยดี ไปในบ้าน
นี่คือตัวอย่างของเสขิยวัตรครับ ข้ออื่นๆก็เป็นไปในทำนองนี้ ความผิดประเภทนี้เป็นความผิดเล็กน้อยมากๆ แต่พวกเราปุถุชนคนหนาด้วยกิเลสกลับจาบจ้วง ด่าอย่างหยาบคายต่อพระภิกษุ มันคุ้มหรือครับ
|
|
|
|
![]() |
|
|
คุณไปอ่านศีล227ข้อให้ครบครับ พระพยอมบอกแค่อย่างน้อย แต่อย่างมากพระพยอมยังไม่ได้บอกว่าไม่ได้ผิดนะครับ
และไปย้อนอ่านทุกๆคห.ให้ครบก่อนนะครับ เพราะคุณไม่อ่านให้ครบ ผมขี้เกียจอธิบาย
และแค่ผิดบุกรุกป่าก็ถึงติดคุกแล้วครับ แม้จะยังไม่มีคำตัดสิน แต่ดูจากสภาพวัดสามแยก เข้าข่ายผิดบุกรุกแน่นอน
ทำสงฆ์แตกแยก อวดภูมิธรรมว่าหลุดพ้น ปาราชิกแล้ว!!
พระผู้ใหญ่ตักเตือนไม่ฟัง กระทำตนเป็นคนสอนยาก
หมดความเป็นพระแล้วครับ
แม้แต่อาบัติ ซ้ำซากก็หมดความเป็นพระครับ
มี คำสั่งให้สึก จากเจ้าคณะภาค4ฝ่ายธรรมยุตลงมติออกคำสั่งพระเกษม ลาสิกขาบทใน3วัน
นั่นเพราะพระเถระผู้ปฎิบัติ ต่างมองออกว่า คนๆนี้ขาดความเป็นพระ เป็นเพียงคนเพี้ยนเอาตำรามากางแบบเพี้ยนๆ กระทำตัวเสื่อมๆเท่านั้น
คนๆนี้ไม่ใช่พระแน่นอน ถ้าพระผู้ใหญ่ยังบอกว่านายพระเกษมผิด นายพระเกษมยังบอกว่าถูก นั่นคือหลงตัวเองว่าเหนือกว่าพระผู้ใหญ่ครับ
คุณคิดว่าคนโบราณ พระในสมัยโบราณ ฉลาดน้อยกว่าคนปัจจุบันหรือไม่?
พระอรหันต์ในอดีตมากมายก็กราบไหว้พระพุทธรูป นั่นเพราะอะไร??
กลับไปอ่าน คห.ที่18ของผมให้แตกก่อนครับ
และถ้าคุณจะลอกอะไรมา ควรให้เครดิตที่มาด้วยครับ
และขอยกตัวอย่างง่ายๆ พระดื่มเหล้า ทำไมตำรวจต้องพาไปสึก?
|
|
|
|
![]() |
|
k542
|
ขอขอบคุณคุณเอก ที่ตอบ คห.พร้อมแนบลิงค์ให้คิมค่ะ
-----
แค่ไม่เข้าใจ กับวิธีการตอบโต้ของนายพระเกษม
การห่มผ้าเหลือง ถือว่า ท่านได้ยึดติด หรือ ท่านเอาผ้าเหลืองมาเป็นเครื่องมือ?
เพราะคำสอนของท่าน คิมคิดว่า น่าฟัง มีเหตุผล แต่ท่านต้องเป็นบุคคลธรรมดา ไม่ใช่เป็นพระ แล้วมา ทำการดูหมิ่นเยี่ยงนี้
คิมเกิดมา ก็เห็นพระพุทธรูป ในห้องพระของคุณพ่อ
คิมเกิดมา ก็เห็นวัดวาอาราม แม้แต่ที่นี่ ที่ๆคิมอยู่ ก็มีวัดไทย
---------
ส่วนเรื่องนิติราษฎร์ คิมอ่านมาหลายกระทู้ หลายสื่อ หลายบทความ
รวมทั้งบทความของคุณเอกที่เขียนตั้งแต่วันแรกเลย
คิมมีทั้งที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย
แต่จะให้คิมพูดว่า ชอบการทำรัฐประหารไหม?
ขอตอบสั้นๆว่า ไม่เอารัฐประหาร เกลียดการทำรัฐประหาร...
เดี๋ยวไปข้างนอก จะกลับมาอ่านค่ะ
|
|
|
|
![]() |
|
|
คุณk ครับ ผมน่ะรักประชาธิปไตย แต่ผมรักคุณธรรมมากกว่า
ในตอนเด็กๆ ผมต่อต้านคอมมิวนิสต์ สังคมนิยม และระบอบทุกระบอบที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย
แต่วันนี้ ผมมองว่า ทุกระบอบต่างมีดีมีเลวทั้งสิ้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่ากันมากเท่าไหร่
เพียงแต่ ระบอบประชาธิปไตยเลวน้อยที่สุด
รัฐประหาร ผมก็มองว่า มันก็แค่เครื่องมืออย่างหนึ่งเท่านั้น
ผมมองว่า ประชาธิปไตยถ้าถูกใช้ในทางที่ผิด ก็เสื่อมได้เช่นกันครับ
เพราะทุกระบอบสุดท้ายมันขึ้นอยู่กับคนที่ใช้ ว่าคนที่นำไปใช้เอาไปใช้ในทางที่ดีหรือไม่
ระบอบก็เสมือนมีด ถ้าเอาปอกผลไม้ก็มีประโยชน์ ถ้าเอาไปแทงคนตาย ก็เป็นโทษครับ
|
|
|
|
![]() |
|
k542
|
คุณk ครับ ผมน่ะรักประชาธิปไตย แต่ผมรักคุณธรรมมากกว่า
ในตอนเด็กๆ ผมต่อต้านคอมมิวนิสต์ สังคมนิยม และระบอบทุกระบอบที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย
แต่วันนี้ ผมมองว่า ทุกระบอบต่างมีดีมีเลวทั้งสิ้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่ากันมากเท่าไหร่
เพียงแต่ ระบอบประชาธิปไตยเลวน้อยที่สุด
รัฐประหาร ผมก็มองว่า มันก็แค่เครื่องมืออย่างหนึ่งเท่านั้น
ผมมองว่า ประชาธิปไตยถ้าถูกใช้ในทางที่ผิด ก็เสื่อมได้เช่นกันครับ
เพราะทุกระบอบสุดท้ายมันขึ้นอยู่กับคนที่ใช้ ว่าคนที่นำไปใช้เอาไปใช้ในทางที่ดีหรือไม่
ระบอบก็เสมือนมีด ถ้าเอาปอกผลไม้ก็มีประโยชน์ ถ้าเอาไปแทงคนตาย ก็เป็นโทษครับ
รัฐประหาร...ในมุมมองของคุณเอก มันคืออีกหนึ่งเครื่องมือ ที่สำคัญ ใคร?..คือผู้ที่มีสิทธ์ใช้เครื่องมือนี้ ประชาชนหรือเปล่าคะ?
|
|
|
|
![]() |
|
ตถตา
|
พระพุทธองค์ทรงบัญญัติข้อห้ามและวินัยสงฆ์ โดยบัญญัติโทษแก่สงฆ์ตามโทษานุโทษ ตั้งแต่อาบัติปาจิตตีย์(โทษอย่างเบา)ไปจนถึงขั้นปราชิก(ขาดจากความเป็นพระ) ส่วนอนันตริกรรมนั้นไม่ต้องกล่าวเพราะเป็นโทษหนักรับผลทันที โดยไม่ต้องกล่าวว่าปราชิกหรือไม่ ผมขอถามคุณเอกซิตี้สักคราเถิด 1. เหตุใดพระพุทธองค์ไม่ทรงบัญญัติว่า สงฆ์ผิดวินัยในทุกประการเป็นปราชิก (คือผิดสึกหมด) 2. เหตุใดพระพุทธองค์ทรงลำดับโทษแก่สงฆ์ไม่เสมอกัน (คือมีทั้งปาจิตตีย์และปราชิก) 3. พระเกษมผิดวินัยข้อห้ามศีลข้อใดโทษสถานใด 4. ตอบให้ได้นะครับ ปล. ตอบให้เป็นตัวอย่าง เพราะพระพทุธองค์ทรงเห็นอุปนิสัยสัตว์โดยตลอดแล้วว่าหามีเสมอกันไม่ แม้เป็นพระก็หาได้ละกิเลสสิ้น แต่สัตว์มนุษย์นั้นย่อมสั่งสอนและฝึกได้ พระก็เช่นกันย่อมมีระดับของการฝึก มิใช่บวชแล้วจะละกิเลสหรือบรรลุได้ทันที ไม่เช่นนั้นผู้บรรลุธรรมจะแบ่งเป็น โสดาบัน,สกิทาคามี ,อนาคามี และอรหันต์ หรือ อย่างนี้มิบรรลุธรรมกันหมดโลกแล้วหรือครับ ....บาปหนานะคุณ
|
|
|
|
![]() |
|
ตถตา
|
พระพุทธองค์ทรงบัญญัติข้อห้ามและวินัยสงฆ์ โดยบัญญัติโทษแก่สงฆ์ตามโทษานุโทษ ตั้งแต่อาบัติปาจิตตีย์(โทษอย่างเบา)ไปจนถึงขั้นปราชิก(ขาดจากความเป็นพระ) ส่วนอนันตริกรรมนั้นไม่ต้องกล่าวเพราะเป็นโทษหนักรับผลทันที โดยไม่ต้องกล่าวว่าปราชิกหรือไม่ ผมขอถามคุณเอกซิตี้สักคราเถิด 1. เหตุใดพระพุทธองค์ไม่ทรงบัญญัติว่า สงฆ์ผิดวินัยในทุกประการเป็นปราชิก (คือผิดสึกหมด) 2. เหตุใดพระพุทธองค์ทรงลำดับโทษแก่สงฆ์ไม่เสมอกัน (คือมีทั้งปาจิตตีย์และปราชิก) 3. พระเกษมผิดวินัยข้อห้ามศีลข้อใดโทษสถานใด 4. ตอบให้ได้นะครับ ปล. ตอบให้เป็นตัวอย่าง เพราะพระพทุธองค์ทรงเห็นอุปนิสัยสัตว์โดยตลอดแล้วว่าหามีเสมอกันไม่ แม้เป็นพระก็หาได้ละกิเลสสิ้น แต่สัตว์มนุษย์นั้นย่อมสั่งสอนและฝึกได้ พระก็เช่นกันย่อมมีระดับของการฝึก มิใช่บวชแล้วจะละกิเลสหรือบรรลุได้ทันที ไม่เช่นนั้นผู้บรรลุธรรมจะแบ่งเป็น โสดาบัน,สกิทาคามี ,อนาคามี และอรหันต์ หรือ อย่างนี้มิบรรลุธรรมกันหมดโลกแล้วหรือครับ ....บาปหนานะคุณ
|
|
|
|
![]() |
|
|
|
|
 สรุปแล้ว ท่าน ตถตา คิดว่านายพระเกษม ทำถูกหรือผิด รบกวนตอบคิมด้วย หากจะกรุณา ช่วยอธิบายง่ายๆเพื่อให้เข้าใจ โดยไม่ต้องตีความ เพราะคิมยอมรับว่า ไม่ค่อยเข้าใจภาษาธรรมเท่าไร ขอบคุณมากค่ะ  คุณk ครับ ธรรมดาของพวกที่เข้าใจว่าตนสูงส่ง มักจะพูดให้คนเข้าใจไม่ค่อยรู้เรื่องครับ โปรดอภัยให้เขาด้วย คนประเภทนี้ ก็คล้ายพวกศิษย์พระเกษม ที่กลับบ้านไปทุบพระพุทธรูป เผาพระพุทธรูปทิ้ง แล้วบอกว่า ตนเองไม่ยึดติดนั่นแหล่ะ เพราะความจริงแล้ว พวกนี้ต่างหากที่ยึดติดมากๆๆๆ ยึดมากจนทนเห็นรูปปั้นพระพุทธรูปไม่ได้ ไม่ต่างอะไรจากพวกตาลีบันครับ ที่อ้างว่า ไม่กราบไหว้ จึงต้องทำลายทิ้ง พวกนี้เข้าใจว่าตัวเองฉลาดกว่าคนโบราณครับ
|
|
|
|
![]() |
|
|
ตถตา
|
ขอบคุณครับ ต่อไปนี้กระผมจะขอตอบคุณ K542 ก่อนนะครับ 1.พระเกษม ผิดอาบัติปาจิตตีย์(โทษอย่างเบา)เช่นพูดจาส่อเสียด ฯ แต่ไม่ถึงขั้นปราชิก(ขาดจากความเป็นพระครับ) 2 และถึงแม้จะมีคำสั่งให้ท่านลาสิขาบท(สึก) หากท่านไม่ยินยอมย่อมกระทำมิได้ครับ
ส่วนคุณเอกซิตี้ผมถามคุณ แต่คุณไม่ตอบซ้ำกลับย้อนไปถามคำถามอื่น เช่น "นั่นคุณต้องไปถามพระพุทธเจ้าเองครับ" เช่นนี้ไม่ควรกล่าว เพราะคำตอบมีอยู่แล้ว ในข้อความ ปล.ของกระผม สำหรับคำถามของคุณเอกซิตี้กระผมยินดีตอบให้กระจ่างตามภูมิ ดังนี้ 1.ข้อห้ามดื่มสุราอยู่ในอาบัติปาจิตตีย์(โทษอย่างเบา) ยังไม่ถึงขั้นปราชิก แต่หากดื่มจนครองสติไม่ได้หรือเป็นอาจิณย์ แม้ไม่บัญญัติเป็นข้อปราชิกแต่ไม่ควรแก่เพศสมณะ การสึกส่วนใหญ่จะเป็นการขอร้องแกมบังคับให้สึกครับไม่ใช่ปราชิก ดังนั้นหากใครใช้กำลังบังคับให้พระสึกโดยพระนั้นไม่ยินยอมย่อมเป็นบาปหนัก แต่ส่วนใหญ่พระที่ดื่มสุรายอมสึกครับ ส่วนพระโกหกนั้นก็เป็นอาบัติปาจิตตีย์ หากจะขอร้องให้สึกนั้นได้แต่บังคับไม่ได้ครับ .... นี่คือคำตอบแรก ข้อสนับสนุน(ของคุณเอกซิตี้) " งั้นพระเสพสุราทุกวันก็ไม่ควรสึกใช่มั้ยครับ เพราะไม่ปาราชิกใช่มั้ย? พระโกหกก็ไม่ต้องสึกใช่มั้ย? "
2.เหตุที่ประชุมสงฆ์มีมติให้พระเกษมสึก คุณเอกซิตี้กลับไปฟังในคลิปล่าสุดของพระเกษมที่ตอบโต้แต่ละข้อกล่าวหา ซึ่งกระผมฟังแล้วน้ำหนักพอฟังทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งฝ่ายพระเกษมมีข้อโต้แย้งอันเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในโลกชัดเจนยิ่งกว่า 3.กระผมไม่มีและไม่ใช้ตรรกะผู้ใดมาเปรียบเทียบแต่ใช้สติและสำนึกของศิษย์พระตถาคตมาโต้แย้ง 4.ผู้อาศัยอยู่ด้วยความยินยอมของเจ้าบ้านนั้นหาผิดบุกรุกไม่แต่เมื่อใดเจ้าของแสดงเจตนาขับไล่ความผิดจะเริ่มนับตั้งแต่บัดนั้น แต่เดิมกรมป่าไม้(บุคคลที่รับผิดชอบสถานที่นั้นๆ)อนุญาตให้พระเกษมอาศัยและจัดตั้งเป็นสำนักสงฆ์ โดยมีมูลเหตุเพื่อให้ท่านปฏิบัติธรรมเผยแผ่พระศาสนาและร่วมอนุรักษ์ป่าไปในที การขยายอาณาบริเวณในที่นั้น ย่อมเกิดจากจำนวนผู้ศรัทธาที่หลั่งไหลและความยิมยอมของบุคคลที่รับผิดชอบสถานที่นั้นๆโดยปริยาย โดยเจตนาเดิมยังคงอยู่หรือโอนไปตามเจตนา(ภาษากฎหมาย) หากพระเกษมผิดผู้อนุญาตย่อมร่วมรับผิดฐานสนับสนุนรับโทษ2ใน3 เมื่อยังไม่ฟ้อง(แค่มีมติ)และยังไม่คำพิพากษาจึงขอยุติไว้ก่อน .... นี่คือคำตอบที่ 2 5.ผู้ที่ยึดติดคือคุณเอกซิตี้ต่างหาก เพราะแต่ละประโยคแต่ละถ้อยคำคุณกล่าวหาพระเกษมและดูหมิ่นท่านมาโดยตลอด ส่วนกระผมเห็นว่าท่านผิดแต่ไม่ถึงกับปราชิกก็เท่านั้น ซึ่งจะปราชิกหรือไม่กระผมก็ไม่มีส่วนได้เสียหรือรู้สึกเสียหน้าแต่ประการใด เพียงแต่รู้สึกเสียใจและเสียดายภูมิปัญญาของหลายท่านซึ่งควรละเอียดรอบคอบกว่าที่เป็นอยู่ 6.ข้อหาดูหมิ่นฯศาสนา ม.206 คุณกลับไปอ่านฎีกาในคดีใกล้เคียงกันว่ามีเป็นบรรทัดฐานสักกี่เรื่อง เรื่องพระเกษมเมื่อศาลยังไม่มีคำพิพากษาว่าดูหมิ่นเยียดหยาม คุณไปตัดสินด้วยวิธีใด ถ้าไม่ใช่ความรู้สึกส่วนตัว หรือ ศาลเตี้ย .... นี่คือคำตอบที่ 3 7.คำถามบุกรุกป่าฯ คุณกลับไปอ่านข้อ 4 8.พระเกษมขัดคำสั่งใดชอบหรือไม่ชอบประการใด ท่านได้แถลงไว้แล้วในคลิปเชิญไปฟัง แต่จะให้ผู้น้อยคอยก้มบังคมกราบผู้ใหญ่ในทุกเรื่องนั้นกระผมไม่เห็นด้วย อย่างน้อยการโต้แย้งผู้ใหญ่ย่อมต้องมีเหตุผลยิ่งกว่าส่วนผู้ใหญ่จะพอใจหรือไม่ใครๆย่อมรู้ดูกันออก หรือคุณดูไม่ออก ....นี่คือคำตอบข้อ 4 9.คุณรู้ได้อย่างไรว่าที่พระเกษมสั่งสอนมาเป็นเท็จ คุณเพียงสันนิษฐานเอาตามภูมิส่วนตนเท่านั้น 10. พระเกษมผิดจริง ข้อกล่าวหาต่างๆยอมปรากฏและถูกดำเนินการตามกฎหมาย คุณไปนำข้อกล่าวหาต่างๆมาจากที่ใดไม่อาจรู้ได้ แต่เหล่านั้นเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผู้นั้น หาใช่คำพิพากษาของศาลสถิตย์ยุติธรรมไม่ 11. คุณจึงหลงเชื่อไปโดยขาดหลัก "กาลามสูตร" ปล. กระผมตอบคุณแล้ว แล้วคุณตอบกระผมบ้างหรือยัง ...เอาตรงประเด็นนะครับ
|
|
|
|
![]() |
|
k542
|
ขอขอบคุณท่าน ตถตา ที่กรุณามาให้คำอธิบายค่ะ 
|
|
|
|
![]() |
|
lek88
|
ชัดเจน ตรงประเด็นครับคุณ ตถตา ตอนนี้ก็รอฟังคำตอบของคุณ akecity ครับผม
|
|
|
|
![]() |
|
|
คุณตถตา ต้องแยกระหว่างคำว่าขาดความเป็นพระในเรื่องปาราชิกออกจาก ความไม่เหมาะสมกับการเป็นพระ
เช่นพระทำผิดวินัย ไม่่ถึงปราราชิก โลกติเตียน ทำผิดซ้ำซาก ไม่เชื่อฟังพระผู้ใหญ่ตักเตือน กระทำการหยาบคาย กล่าวหาพระผู้ใหญ่นั้น
บุคคลคนนั้นไม่เหมาะสมกับการเป็นพระในขณะนั้น
หมายถึง อาจสึกเพื่อไปปรับปรุงตัว แล้วกลับมาบวชใหม่ได้
ส่วนปาราชิก ขาดความเป็นพระตลอดชาติ
คำสั่งพระผู้ใหญ่ในเถระสมาคม แม้พระอุปชาของนายเกษม ชี้ขาดว่า ควรสึก นายเกษมไม่ยอมสึกตามคำสั่งประอุปชาย์ นั่นคือขัดคำสั่ง ไม่เคารพกฏหมายบ้านเมืองกฏเถระสมาคม
การกระทำตัวหยาบคาย ซ้ำซาก ท้าทายผู้คน ไม่ควรเป็นพระให้ศาสนาเสื่อม เพราะเป็นที่ติฉิน กระทำตนเป็นผู้เลี้ยงยาก ทำให้สงฆ์แตกแยก
อาบัติซ้ำซาก โดยเฉพาะจากคลิปแรก อวดว่าตนนิพพาน ให้ผู้ฟังเชื่อว่าตนนิพพาน แค่นี้ก็ปาราชิกแล้วครับ
กระทำหยาบคายส่อเสียด ใครเตือนไม่ฟัง โลกวัชชะซ้ำซาก สมควรแก่การสึกไปสำนึกตน
อาบัติ สังฆาทิเสส
ข้อ ๑๒.เป็นผู้ว่ายากสอนยาก และต้องโดนเตือนถึง 3 ครั้ง
ผมมองว่าขาดความเป็นพระแล้ว ส่วนคุณมองว่าไม่ขาด ก็เรื่องของคุณ เพราะลูกศิษย์นายพระเกษมก็เชื่ออย่างนั้น ลูกศิษย์ยันตระก็เชื่อแบบนั้น
คุณอาจคิดว่าต้องศาลตัดสินว่าผิด จึงจะขาดความเป็นพระ แต่ความจริงถ้าผิดจริงมันขาดความเป็นพระตั้งแต่ศาลไม่ตัดสิน
หากการลบหลู่พระพุทธรูป สอนศิษย์เผาพระพุทธรูป แล้วถ่ายรูปเพื่อประจาน ไม่ใช่การเหยียดหยามลบหลู่
ก็เปรียบเสมือนพวกฝรั่ง ตัดเศียรพระไปทำหัวบันได ผู้หญิงแต่งการไม่เรียบร้อยกอดจูบพระพุทธรูปนั่นแหล่ะ
สิ่งนั้นแม้ไม่มีบัญัติในพุทธกาล แต่กฏหมายบ้านเมืองปัจจุบันคือกระทำการเหยียดหยาม
เดี๋ยวผมจะขอยกคห.จากเว็บหนึ่งที่สมเหตุสมเผลมามาให้คุณอ่าน
|
|
|
|
![]() |
|
|
ความเห็นจากAdminของเว็บธรรมทาน ตามนี้
v
v
เรื่อง นี้เป็นประเด็นมาได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว ก็เป็นที่ถกเถียงกันในสังคมชาวพุทธกัน โดยส่วนตัวผมมองว่า การที่จะไหว้หรือไม่ไหว้พระ ไม่มีใครถูกใครผิดหรอกครับ ขึ้นกับใจของแต่ละท่านมากกว่าที่จะเชื่ออย่างไร เพราะพระพุทธองค์ทรงตรัสเอาไว้ว่า..
มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฎฐา มโนมยา“ธรรมทั้งหลาย มีใจถึงก่อน มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ”
พระวัดนี้ท่านมองว่า พระพุทธรูปเป็นอิฐหินปูน จึงไม่ต้องกราบไหว้ จึงควรทำลายทิ้งเสีย เพราะท่านมองว่าไม่ใช่พระพุทธเจ้า ยกข้อความในพระไตรปิฎกมายืนยันก็เห็นจะจริงตามนั้นว่า..พระพุทธรูปไม่ใช่พระพุทธเจ้า สร้างกันขึ้นมาภายหลัง พระพุทธองค์ไม่ได้บอกให้สร้าง (ท่านเลยสรุปว่า พระพุทธรูปเป็นสิ่งแปลกปลอมในพระพุทธศาสนา เหอๆ)
ผมเองก็ว่า จริงๆ ท่านมีเจตนาดีนะครับ คือ ไม่อยากให้ผู้คนยึดติดกับวัตถุมากนัก โดยเฉพาะพวกเครื่องรางของขลัง และว่าด้วยเรื่องการบูชาพระพุทธเจ้านั้นมีอามิสบูชาคือการกราบไหว้ และถวายดอกไม้ธูปเทียนของหอมต่างๆ แต่อานิสงส์ก็คงไม่สู้ปฏิบัติบูชา คือการปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ไม่ได้ (แต่โดยส่วนตัวผมว่าถ้าจะให้ดี ทำไมไม่ทำทั้งสองล่ะ ทำไมต้องเลือกทำอันเดียว..) แต่การนำพระไปทำลายทิ้งนี่ ผมเห็นว่าไม่ควรอย่างยิ่ง…
อย่าลืมนะครับ ว่าบัวยังมี 4 เหล่า คนที่จะเข้าถึงการปฏิบัติบูชานั้นถือเป็นชนกลุ่มน้อย คนที่กิเลสหนายังมีอยู่เยอะ คนเหล่านี้ยังต้องการสิ่งยึึดเหนี่ยวให้นึกถึงพระพุทธศาสนา เช่น เห็นว่าอยู่ในเขตวัดหรืออยู่หน้าพระพุทธรูป ทำให้นึกถึงพระพุทธเจ้า ก็อาจละชั่วแม้ชั่วขณะหนึ่ง เพราะละอายต่อบาปต่อหน้าพระพุทธองค์ หรือแม้แต่คนที่ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ
การที่ท่านกราบไหว้พระพุทธรูป ถามว่าท่านกราบไหว้หินอิฐปูนทรายรึเปล่าก็คงไม่ใช่ เพราะสิ่งที่ท่านกราบไหว้ คือ พระพุทธเจ้าต่างหาก เพราะการเห็นพระพุทธรูปแล้วเป็นการรำลึกถึงองค์พระพุทธเจ้า ไม่ใช่การเห็นอิฐหินปูน
การกราบไหว้พระพุทธรูป อย่างนี้ถือเป็นอามิสบูชา ถามว่ามีประโยชน์เท่าปฏิบัติบูชามั้ย ก็คงไม่เท่า แต่อามิสบูชาเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งสูญเปล่าอย่างแน่นอน และอีกอย่าง หากจิตเราเห็นพระพุทธรูปแล้วน้อมรำลึกถึงพระพุทธเจ้า นั่นคือ ทุกครั้งที่เห็นหรือกราบไหว้พระพุทธรูปนั่นคือ เรากำลังเจริญ พุทธานุสติ นะครับ แล้วการเจริญพุทธานุสติ นี่มันไม่ดีตรงไหน มีหลายท่านที่ท่านนั่งจับภาพพระพุทธรูปจนเป็นฌานได้กันเยอะแยะ …
อ่านต่อ..
|
|
|
|
![]() |
|
|
เรื่อง การนึกถึงพระพุทธเจ้านี้ ไม่ใช่เรื่องธรรมดานะครับ มีตัวอย่างในพระไตรปิฎกกล่าวเอาไว้หลายเรื่อง เรื่องแรก จำชื่อท่านไม่ได้ ท่านคนนี้เป็นคนที่ไม่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาเลย ใครไปทำบุญแกก็ขวาง เวลาพระเทศท่านก็ทำเสียงดังกลบเสียงพระ เรียกได้ว่า ตายไปลงนรกแน่ๆ แต่พอถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ท่านป่วยหนัก ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส จึงละทิฎฐิ คิดถึงพระพุทธองค์ อยากให้พระพุทธองค์มาโปรดก่อนตาย ท่านคิดอยู่อย่างนี้ แล้วท่านก็ตาย และได้ไปเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ซะงั้น ด้วยอานิสงส์แห่งการเจริญพุทธานุสติก่อนตายนั่นเอง และต่อมาเมื่อท่านจะหมดบุญจากสวรรค์ต้องลงนรก พระพุทธองค์ก็ได้ไปโปรดท่านจนบรรลุเป็นพระโสดาบันอีกต่างหาก นอกจากนี้ยังมีอีกหลายตัวอย่างในพระไตรปิฎกไปศึกษาเพิ่มเติมดูครับ
เมื่อช่วงที่กำลังเป็นข่าวโครมคราม ผมไปอ่านเจอทัศนะท่านผู้รู้ท่านหนึ่ง จำไม่ได้ว่าใคร เห็นว่าเข้าใจได้ง่ายดี ท่านให้เปรียบเทียบเรื่องนี้อย่างนี้ครับว่า เปรียบ เสมือนบุตรผู้ซึ่งมาอยู่ห่างไกลจากบิดามารดา ด้วยความสำนึกในบุญคุณแห่งบิดามารดา และเพื่อเป็นการระลึกถึงบิดามารดา จึงได้ทำร็อคเก็ตรูปบิดามารดาไว้ห้อยคอ เวลาจะทำชั่วอะไรด้วยที่คำนึงว่าห้อยร็อคเก็ตอยู่ก็ระลึกถึงคุณบิดามารดา ไม่กล้าทำชั่วให้ท่านเสียใจ และเป็นสิ่งระลึกให้ตั้งใจทำงาน
ถามว่า ร็อคเก็ตนี้ใช่พ่อใช่แม่มั้ย …. ก็คงไม่ใช่ แล้วเราควรทำยังไงกับร็อคเก็ตที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่จริงๆ ของเรา
1. ทุบทิ้ง ทำลายทิ้งซะ เพราะมันก็แค่รูป + ร็อคเก็ต ไม่ใช่พ่อแม่เราซะหน่อย 2. เก็บร็อคเก็ตไว้บูชา เพื่อระลึกถึงคุณท่าน และตั้งใจทำดีเพื่อท่าน เลือกกันเอาเองนะครับ
จริงๆ เรื่องนี้ไม่ใช่แก่นหรือสาระสำคัญในพระพุทธศาสนา ก็งงๆ ทำไมถึงเกิดประเด็นพวกนี้ขึ้นมาได้ ถามว่า คนที่ไม่ห้อยร็อคเก็ต ไม่รักพ่อแม่หรือ ก็คงไม่ใช่ ถ้าใจท่านคิดถึงพ่อแม่ รักพ่อแม่จนไม่ต้องพึ่งร็อคเก็ต ด้วยใจท่านคิดถึงพ่อแม่อยู่แล้ว อย่างนี้ดีกว่าพวกที่ห้อยแต่ใจไม่เคยคิดถึงพ่อแม่เลยแน่นอน
แต่ถ้าใครอารมณ์ใจ ยังไม่แน่วแน่ขนาดนั้น การจะห้อยร็อคเก็ต เพื่อระลึกถึงคุณพ่อแม่ ก็ถือว่าท่านมีเจตนาที่ดี น่าสรรเสริญ อย่างน้อยก็ดีกว่า พวกที่ไม่ว่าจะห้อยหรือไม่ห้อยร็อคเก็ต ก็ไม่เคยคิดถึงพ่อแม่เลย…ลองถามใจท่านเอง ว่าท่านเป็นคนประเภทไหน..
อ่านต่อ..
|
|
|
|
![]() |
|
|
สำหรับท่านที่ยังสงสัยว่า การกราบไหว้พระพุทธรูป หรือ การสร้างพระพุทธรูป มีอานิสงส์หรือไม่ เรามาลองวิเคราะห์ กันดูครับ ตามประสาปุถุชนที่ยังไม่มีญาณหยั่งรู้ ฝากให้คิดเรื่อง เจดีย์ ประเภทของเจดีย์ หรือพุทธเจดีย์
พุทธเจดีย์ คือ สิ่งซึ่งสร้างขึ้นด้วยเจตนาเพื่อระลึกถึงและอุทิศต่อพระพุทธเจ้า และพระรัตนตรัย
พุทธเจดีย์ มิได้เจาะจงเฉพาะแต่ เจดีย์ ที่เป็นถาวรวัตถุ สิ่งก่อสร้างเท่านั้น แต่รวมถึง พระพุทธรูป พระไตรปิฎก สังเวชนียสถาน ด้วย
ในตำราพระพุทธศาสนากำหนดว่าเจดีย์ มีด้วยกัน 4 ประเภท (ป.อ. ปยุตโต) คือ
ธาตุเจดีย์ หมายถึง สิ่งก่อสร้างที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ของพระมหากษัตริย์จักรพรรดิ
บริโภคเจดีย์ หมายถึง สถานที่ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ใช้ เป็นที่ระลึกถึงพระองค์เมื่อเสด็จปรินิพพานแล้ว ได้แก่ สังเวชนียสถาน 4 แห่ง คือสวนลุมพินีวันที่ประสูติ อุรุเวลาเสนานิคม(พุทธคยา) ที่ตรัสรู้ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน(สารนาถ) ที่แสดงปฐมเทศนา และสาลวโนทยาน เมืองกุสินาราที่ปรินิพพาน
ธรรมเจดีย์ หมายถึงพระธรรม คัมภีร์ในพุทธศาสนา เป็นสิ่งแทนองค์พระพุทธเจ้า ต่อมาเขียนลงเป็นตัวอักษรประดิษฐานไว้เพื่อบูชา
อุเทสิกเจดีย์ หมายถึง สถานที่หรือสิ่งของที่สร้างขึ้นโดยเจตนาอุทิศต่อพระพุทธเจ้า ไม่กำหนดว่าจะต้องทำเป็นอย่างไร เช่น พระพิมพ์ พระพุทธรูป ธรรมจักร บัลลังก์ เจดีย์ เป็นต้น
สรุปแล้ว เจดีย์ ก็คือ สิ่งที่สร้างด้วยเจตนาเพื่อระลึกถึงพระพุทธเจ้าและพระรัตนตรัย การสร้างพระพุทธรูป นี้ผู้สร้างมีเจตนาเพื่อระลึกถึงพระพุทธเจ้า ดังนั้น พระพุทธรูปก็เป็นเจดีย์ประเภทหนึ่ง
ทุกอย่างตรงไปตรงมา สนับสนุนคำสอนพระพุทธองค์ที่ว่า “ธรรมทั้งหลาย มีใจถึงก่อน มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วที่ใจ ” ใจเราคิดว่าเรากำลังไหว้พระพุทธเจ้า ก็ได้ตามนั้นล่ะครับ จะไปคิดอะไรมาก
อย่างในพระไตรปิฎกมีเรื่อง อานิสงส์การก่อเจดีย์ทราย เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ก็มีอานิสงส์มากมาย ท่านๆ ก็ลองคิดดูเอาละกันครับ ว่าการสร้างพระพุทธรูปกับการก่อเจดีย์ทราย อย่างไหนทำยากกว่ากัน อย่างไหนต้องใช้กำลังทรัพย์ กำลังกายมากกว่ากัน ในเมื่อพระไตรปิฎกก็เขียนไว้ชัดเจนว่า การก่อเจดีย์ทรายก็เป็นเจดีย์ มีอานิสงส์มาก แล้วทำไมการสร้างพระพุทธรูปเพื่อระลึกถึงพระพุทธเจ้าจะไม่มีอานิสงส์เล่า….
สำหรับคนที่ขี้เกียจวิเคราะห์นะครับ มีหลักการคิดง่ายๆ ก็คือ พระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านยังไหว้พระ ท่านสอนให้ไหว้พระ และท่านก็ยังสร้างพระกันเต็มบ้านเต็มเมือง ยกตัวอย่างคือ พระแก้วมรกต ผู้ที่สร้างคือ พระนาคเสน ในสมัยพระเจ้ามิลินท์ หรือเอาใกล้ๆ หน่อย หลวงพ่อฤาษี ท่านสร้างสมเด็จองค์ปฐมและได้เมตตาสอนเรื่องการชำระหนี้สงฆ์ โดยการสร้างพระพุทธรูป หน้าตัก 4 ศอกขึ้นไปจึงจะถือว่า ชำระหนี้สงฆ์ได้ ครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่น มีหลวงตามหาบัวเป็นต้น ท่านก็กราบไหว้พระพุทธรูป เป็นต้น…..
แล้วถ้าให้เลือกว่าผมจะเชื่อใครระหว่างพระอรหันต์ กับพระหรือฆราวาสที่ไม่รู้ว่าเป็นพระอริยะหรือไม่(ผมหมายถึงทั่วๆ ไปนะครับ ไม่ได้เฉพาะเจาะจงท่านใด) ที่อ่านพระไตรปิฎกจนช่ำชอง หรือที่เีรียกว่า ขรัวใบลานเปล่า (เพราะท่านเหล่านี้ ลงอเวจีมหานรกก็มีเรื่องเล่าในพระไตรปิฎกเช่นกัน)….ผมขอเลือกเชื่อพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ สบายใจกว่าครับ โดยเฉพาะ พระนาคเสน ในหนังสือมิลินทปัญหา นี่ท่านสุดยอดจริงๆ ลองไปหาอ่านดูนะครับ สรุปสุดท้าย..มันไม่สำคัญหรอกครับ ว่าพระพุทธรูปสร้างมาครั้งแรกเมื่อใด มีกล่าวในพระไตรปิฎกหรือไม่ สำคัญที่ว่า เราได้ระลึกถึงพระพุทธองค์หรือไม่ และเราได้ทำตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์หรือไม่ต่างหาก ขอให้เจริญในธรรม ครับ
อ่านต่อ..
|
|
|
|
![]() |
|
|
จากการที่ได้เสวนาธรรมกับทางลูกศิษย์วัดสามแยกดังบท comment ด้านล่าง ทำให้ผมได้ข้อสรุปที่แน่ชัดแล้วว่า เหตุที่ท่าน ทำเช่นนั้นเพราะเกิดจากการตีความพระไตรปิฎกผิดนั่นเอง
ผมเคยได้ยินมาว่า พระอรหันต์นั้น มี 4 ประเภท ประเภทที่ 4 คือ พระอรหันต์ปฎิสัมภิิทาญาณ เป็นพระอรหันต์ผู้มีอภิญญาครบ สามารถรู้ภาษาต่างๆ ทั้งต่างประเทศ ภาษาเทวดา พรหม สัตว์ มีความรอบรู้ และที่สำคัญ แตกฉานในพระไตรปิฎกทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ โดยที่ท่านไม่จำเป็นต้องอ่านพระไตรปิฎกด้วยซ้ำ… และผมเข้าใจว่า หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต คือ พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต (ซึ่งเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อเกษม อาจิณณสีโล) เคยกล่าวถึงคำสอนของหลวงปู่มั่น ในหนังสือ ชีวประวัติของหลวงปู่มั่น เกี่ยวกับเรื่อง พิธีปลุกเสกพระพุทธรูป ผมขอยกใจความในหนังสือมาบางส่วนดังนี้……
มีบันทึกสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ของหลวงปู่หล้า เขมปัตโต ถ่ายทอดเทศนาไว้ยืนยันปฏิปทาของหลวงปู่มั่นทอดสะพานให้ลูกๆ หลานๆ ยังมีอีกมากมายนัก การเรี่ยไรแผ่ๆ ขอๆ ในทางตรงและทางอ้อม และจัดงานขึ้นในวัดเพื่อหารายได้สมทบทุนการก่อสร้างหรือซ่อมแซมเกี่ยวกับตัวเงินๆ ไม่มีในขันธสันดานขององค์หลวงปู่เลย เครื่องลางของขลังไม่มีในปฏิปทา รูปเหรียญขายพระเล็ก พระน้อยพุทธาภิเษกก็ไม่มีในปฏิปทาขององค์ท่านเลย วิชาปลุกเสกแกะหู แกะตา แคะหู แคะตาให้พระพุทธรูป หรือ ทำพิธีบวชให้พระพุทธรูป ก็ไม่มีในสันติวิธีขององค์ท่าน
องค์ท่านกล่าวว่า “สมมติเป็นพระพุทธรูปแล้วก็เสร็จกัน เราดีอย่างไรจึงจะไปบวชให้องค์ท่าน องค์ท่านบวชก่อนเราแล้ว เราดีอย่างไรจึงจะไปปลุกท่านให้ตื่น ท่านตื่นก่อนเรา เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานแล้ว เราดีอย่างไรจึงจะไปแคะหู แคะตาให้องค์ท่าน ตานอก ตาใน หูนอก หูใน ขององค์ท่านดีกว่าเราแล้ว จะภิเษกภินันให้องค์ท่านเป็นอะไรอีก องค์ท่านเป็นพระพุทธเจ้าเต็มภาคภูมิแล้ว จะเอาไสยศาสตร์ไปพอกไปทาองค์ท่านทำไม นั้นแหละเป็นตัวบาป นั้นแหละขุมนรก ขุมมิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดเต็มภาคภูมิแล้วยังสำคัญว่าเห็นชอบเข้าข้างตัวเอง แต่ไม่เข้าข้างธรรมวินัย เพียงเท่านี้ก็ยังไม่รู้จักผิดรู้จักถูกแล้ว ธรรมอันละเอียดลออก็ยังมีขึ้นไปกว่านี้มากฉไนจะรู้ได้ พูดไปมากเป็นภัย แต่มีประโยชน์แก่นักปราชญ์ แต่บาดหูผู้ไม่ชอบ และจะถูกกล่าวตู่ว่าขัดขวางรายได้แห่งวัตถุตัว ง. แต่เมื่อไม่พูดยามมีชีวิตอยู่ก็ไม่รู้จะพูดเวลาไหน เพราะตายไปแล้วพูดไม่ได้ และคนเราเป็นส่วนมากมักจะเข้าใจผิดไป“
นี่เป็นบทพิสูจน์ที่แน่ชัดว่า พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ท่านก็ยังเคารพพระพุทธรูป แค่หล่อออกมาเป็นพระพุทธรูปก็ถือว่าเป็นสิ่งระลึกถึงพระพุทธองค์โดยสมบูรณ์แล้ว โดยไม่ต้องไปพุทธาภิเษกอะไรอีก
และหลวงปู่มั่นยังตำหนิการใช้พระพุทธรูปเพื่อเป็นเครื่องมือหาเงินจากพิธีกรรมต่างๆ เพราะเป็นบาป…. แล้วคนที่ทำลายพระพุทธรูปเล่า จะบาปขนาดไหนน้อ…….
|
|
|
|
![]() |
|
|
ท่านพุทธทาส ก็ไม่สอนให้ยึดติดวัตถุ ไม่งมงายในเครื่องรางของขลัง แต่การไหว้พระพุทธรูป เพื่อน้อมจิตไปสู่พระรัตนตรัยโดยง่ายของปถุชน ไม่ใช่เรื่องผิด ถ้าใช้ตรรกะของนายพระเกษม ที่เคยสอนให้ลูกศิษย์ทุบทำลายเผาพระพุทธรูป เป็นสิ่งไม่ผิด
ต่อไปพวกฝรั่ง มันทุบพระพุทธรูป ตัดเศียรพระพุทธรูปไปทำหัวบันได เอาไปแขวนผ้าเช็ดตัวก็คงไม่ผิดใช่มั้ย??
แน่นอนถ้าตามกฏหมายฝรั่งไม่ผิด เพราะเขาไม่ได้นับถือ แต่สมควรกระทำมั้ย? ส่วนนายเกษม รู้ทั้งรู้ว่าการกระทำอย่างนั้น กระทบกระเทือนความรู้สึกคนไทย ก็ยังกระทำ ใครอยากเชื่อนายเกษมเช่นนั้น ก็เชื่อไป แต่ผมขอยืมคำของ ลุงแมน มาตรงนี้ว่า แต่ถ้าพระเกษม มาดูหมิ่นพระพุทธรูป ต่อหน้าผม ผมจะต่อยหน้าแล้วกระทืบมัน เพราะผมยังศรัทธาเคารพพระพุทธรูปอยู่ ยังไม่บรรลุ โสดาบัน
//ช.ผาสุข(คนไทยแท้)
|
|
|
|
![]() |
|
|
กระทำตนว่า แตกฉานพระไตรปิฎก อ้างพระไตรปิฎก
๔. มา ปิฎกสัมฺปทาเนน อย่าเชื่อโดยอ้างปิฎก
แต่อย่าลืมว่า สมัยพุทธกาลก็ไม่มีพระไตรปิฎก ถ้านายเกษมยึดพระไตรปิฎก ก็ไม่ต่างอะไรที่คนเขาจะกราบไหว้พระพุทธรูป
พระไตรปิฎก มีการชำระมาหลายครั้ง ถ้าคนที่ศึกษาพระไตรปิฎกจริงๆจะรู้ว่า บางอย่างในพระไตรปิฎก ก็ไม่ใช่คำพูดของพระพุทธเจ้าโดยตรงทั้งหมด แต่เป็นของพระมหาเถระ
ถ้าจะถามว่าพระไตรปิฎกเป็นพระพุทธพจน์มากน้อยเพียงใด ตอบได้ทันที (เช่นเดียวกับกรณีพระอภิธรรมปิฎก) ว่า พระไตรปิฎกไม่ใช่พระพุทธพจน์ทั้งหมด แต่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
ผู้ศึกษาย่อมทราบดีว่าพระไตรปิฎกมิใช่ "คำพูด" ของพระพุทธเจ้าทั้งหมด มีหลายสูตรที่เป็นเทศนาของพระเถระผู้ใหญ่บางรูป บางส่วนเป็นภาษิตของเทวดาที่พระพุทธเจ้าทรงรับรองว่าเป็นสุภาษิต เฉพาะสูตรในทีฆนิกาย 34 สูตร มีสูตรที่เป็น "คำพูด" ของสาวกไม่น้อยกว่า 5 สูตร ไม่จำต้องพูดถึงนิกายอื่นๆ ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก
แม้พระสูตรซึ่งเป็นเทศนาของพระพุทธเจ้าเอง ก็มีถ้อยคำของผู้รวบรวมประหัว ประท้ายด้วย เช่น พระสูตรนี้พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ใคร ที่ไหน มีเนื้อหาว่าอย่างไร หลังจากแสดงธรรมจบแล้วได้ผลอย่างไร ส่วนที่ถือว่าเป็น "คำพูด" ของพระองค์ก็คือตรงที่เนื้อหาสาระของพระสูตร แม้กระนั้นก็ตามก็เป็นการ quote ข้อความซึ่งผู้ที่ "โควต" อาจจำมาผิดพลาดจากที่ตรัสจริงๆ ก็ได้ แต่ "สาระ" ยังคงอยู่ครบ เฉพาะพระอภิธรรมปิฎกนั้น หลักฐานแบ่งชัดแล้วว่ามิใช่ "คำพูด" ของพระพุทธเจ้า
(อ้างจากเว็บพลังจิต)
|
|
|
|
![]() |
|
|
|
k542
|
โหหหห...มีการจะให้คุณmanฯมาทำแทนอีก
มัวแต่เรียกหาคนทำแทน
อย่างนี้ คิมคิดว่าไม่ทันแล้วล่ะ
นายพระเกษมก็นักเลงนะนั่น
คงไม่เปิดโอกาสมังเจ้าคะ คริ (ล้อเล่นในวันหยุดน่ะ)
|
|
|
|
![]() |
|
|
คุณk ครับ สมมุติคุณk เอารูป วาด แม่คุณk มาแขวนคอ สมมุติแม่คุณkเสียชีวิตไปแล้ว (ขออภัย)
แต่มีไ อ้บ้ามันมากระชากสร้อยรูปแม่คุณkทิ้ง แถมเหยียบย่ำรูปแม่คุณk ต่อหน้าคุณk
ไ อ้บ้าคนนั้นมันบอกว่า รูป วาด นั้นไม่ใช่แม่คุณk คุณkจะทำอย่างไร?
หรือไม่ต้องรูปก็ได้ แค่เขียนชื่อแม่คุณk แล้วไ อ้บ้าคนนั้นก็เหยียบชื่อแม่คุณk คุณkว่า คนนั้นๆบรรลุงอรหันต์แล้วรึยังหรือยัง?
แถมไ อ้บ้าคนนั้นบอกว่า ตัวเองคืออรหันต์ครับ
|
|
|
|
![]() |
|
k542
|
Well...!
คุณเอกที่รัก(ของนายกฯปูคะ)
หากคิมรู้ว่า คนที่กระชากสร้อยที่มีร็อคเก็ตรูปของคุณแม่คิม(ท่านยังสุขภาพแข็งแรงดี) เขาเป็นคนบ้า แล้วกระทำอย่างคนบ้าที่คุณเอกได้สมมุตินั้น
คิมก็จะยกโทษให้ เนื่องจากเขาเป็นคนบ้า คนบ้าหรือคนสติไม่ดี
ย่อมไม่รู้ว่า อะไรควร และอะไรไม่ควร
คนบ้า สามารถคิดผิดเป็นถูก คิดถูกเป็นผิดได้
ตามแต่สมองของคนบ้าจะสั่งงาน
คิมจึงอภัยให้กับคนบ้าค่ะ
---------------------
แต่หากคนที่มากระชากสร้อยคอที่มีร็อคเก็ตรูปของคุณแม่ของคิม
หรือ รูป หรือ แค่ชื่อ โดยที่คนๆนั้นเป็นคนปกติธรรมดา
แต่ทำตัวเยี่ยงคนบ้าอย่างที่คุณเอกสมมุติ
คิมก็ไม่ปล่อยเอาไว้ทำซากหรอก
เท้าของคิม คงไม่ต้องการเหยียบกระดาษชื่อ หรือร็อคเก็ตของคนๆนั้น
เป็นการตอบโต้แน่ๆ มันต้องตัวเป็นๆ เท่านั้น
ขอบคุณที่แสดงข้อความให้ 
|
|
|
|
![]() |
|
|