“การทำงานเวลาไม่แน่นอน ช่วงที่เกิดสถานการณ์ใหม่ๆ ผมจะรายงานทั้งวันเลยตั้งแต่บ่ายไปจนดึก ก็จะสัมภาษณ์บุคคลต่างๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คือม็อบอยู่ผมอยู่ แต่เป้าหมายของผมเนี่ย ไม่ใช่ต้องการจะโจมตีคุณทักษิณตามล่าตามล้าง แต่อยากจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้ทุกคนเข้าใจ เราก็ไม่ได้คิดถึงขั้นคุกคาม ไม่งั้นเราจะไม่แตกต่างกับคนที่คิดคุกคามคนอื่น”
“กับการที่ผมพยายามอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ ผมก็โดนแบล็คลิสต์เลย หาว่ารับใช้พวกอำมาตย์ เลวชั่วต่ำช้า ก็โอเคไม่เป็นไร(ยิ้ม) ทุกคนก็โทร.มาเตือนผม ไม่ว่าจะเพื่อนๆ หรืออาจารย์ ทุกคนก็ให้กำลังใจ ให้ระวังตัว เขาบอกว่า ผมพูดอะไรตรงเกินไป แต่ผมว่าทุกวันนี้มันเห็นชัดนะครับ ว่าคุณทักษิณคือคนที่เป็นต้นเหตุที่เกิดขึ้นทั้งหมดทั้งมวลในสังคมไทย การที่เขาไม่ได้ผลประโยชน์ ทำให้เขาต้องปลุกระดม พยายามล้างสมอง กระตุ้นเร้าอารมณ์คนให้คล้อยตามเขา ม็อบนี่เป็นม็อบของเขาพรรคของเขาที่ได้เงินเขามา และรับใช้เขา”
“ถึงผมจะไม่ใช่สื่อมวลชนที่เป็นนักข่าว แต่ผมก็เป็นคนทำงานด้านสื่อในเรื่องการสัมภาษณ์ เวลาที่เกิดปัญหาในเรื่องการบิดเบือนข้อมูล สิ่งหนึ่งที่เราควรจะต้องทำคือไม่หลบหนีความจริง เช่น วาทกรรมเรื่องอำมาตย์ ไพร่ ผมก็ได้มีการหยิบยกขึ้นมาถามอาจารย์ปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์ปราโมทย์ นาครรทรรพ ผมก็ถามตรงๆ ว่า ชนชั้นพระมหากษัตริย์ทำให้ไม่เกิดความเป็นประชาธิปไตยจริงไหม ที่ต้องถามเพราะว่ามีคนอีกเยอะมาก ที่พร้อมจะเอนเอียงไปทางเขา ถ้าเราไม่เปิดใจกว้างพูดคุยเรื่องนี้ในอนาคตก็อาจจะมีปัญหา”
“ท่านอาจารย์ปราโมทย์ก็ได้ตอบว่า ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์ที่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุด คำนึงที่ผมยิ่งสะเทือนใจและตอกย้ำว่า เราจะต้องทำหน้าที่ตรงนี้ เราจะต้องทำนะ เราจะต้องสู้ และถ้าจะเอาชีวิตเข้าแลกก็ต้องทำก็คือ ท่านอาจารย์บอกว่า ในหลวงทรงรู้ว่ามีคนที่ ไม่อยากให้มีสถาบัน ท่านก็พยายามบอกผ่านคนทำงานของท่านว่า ขอให้บอกเรานะ อยากให้เราปรับตัวอะไรบ้าง ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็คือ ให้โอกาสในการที่เราจะปรับตัวด้วย นี่คือสิ่งที่เรา สัมภาษณ์ออกโทรทัศน์กันสดๆ เลย”
“ผมฟังแล้วแบบ....รู้สึกว่าท่านโดดเดี่ยว และก็รู้สึกว่า ถ้าประชาชนไม่ช่วยกันปกป้องท่าน ท่านก็ไม่มีพระราชอำนาจอะไรที่จะบังคับความรักความศรัทธาของผู้คน ให้รักเรานะ จงรักภักดีกับเรา แต่ตรงกันข้าม พระองค์กลับพยายามบอกว่า มีอะไรให้ปรับตัว ยินดีที่จะช่วยเหลือประชาชนทุกคน ท่าน เป็นในหลวงที่เหนื่อยที่สุดในโลก ทรงงานหนักมาขนาดนี้ แต่กลับถูกคนที่เห็นแก่ตัวไม่กี่คนปลุกระดมคน ฉะนั้นถ้าผมจะทำอะไรได้ จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ยอม”
“นอกจากนั้นแล้ว อาจารย์ก็ยังเชื่อมโยงให้เห็นว่า ที่ประเทศอื่นๆ เขามีสำนักพระราชวัง สำนักราชเลขานุการคอยตอบโต้เวลาที่มีใครโจมตี แต่ในหลวงไม่มี คือในหลวงทรงเสียเปรียบเวลาที่ถูกพาดพิง คนที่ไม่เคยศึกษาไม่เคยรู้ว่าท่านทรงงานทำอะไร ก็จะคล้อยตามสิ่งที่โจมตีท่าน สังคมไทยถ้าเป็นแบบนี้มันน่ากลัว เพราะคำว่าผลประโยชน์ และความไม่รู้”
“ศัตรูของประเทศไทยในวันนี้ไม่ใช่ทักษิณ แต่มันคือความไม่รู้ ทุกวันนี้เรามีสื่อที่ทันสมัยมากมาย แต่วิธีคิดของสื่อที่เจริญแล้วเนี่ยมันแฝงไว้ด้วยอำนาจ ความชิงชัง ความเกลียด อคติ ผลประโยชน์ ผมเรียกว่าเป็นยุค ไอซีทีกาลียุค กาลิกาลี แปลว่า เหลือ 1 ส่วน 4 ความจริงเหลือน้อยลง ก็กลายเป็นว่าความจริงถูกบิดเบือนไป”
“ตอนนี้มี 3 กลุ่มที่เป็นปัญหา คุณทักษิณ ,พรรคการเมืองสส.เพื่อไทย ที่ถวายตัวรับใช้ และก็แกนนำเพราะเขาได้ผลประโยชน์ อย่างวันนั้นที่เจรจาก็เกิดศัพท์แสลงคำว่าเหวง เพราะชวนเสียเรื่อง แต่พอเจรจาเสร็จกลับมาเวทีก็ประกาศเลยว่า พี่น้องของเราจะต้องไม่ตายฟรี อันนี้เป็นการบิดเบือนข้อมูลอย่างร้ายกาจ เป็นการหลอกลวงและการหลอกใช้”
“พอเรานั่งดูแล้วแบบ....ทำไมถึงมีคนที่ทำอะไรได้เลวขนาดนี้ เลวชนิดที่ว่าไม่ต้องอธิบายกันแล้ว สังคมมีคนที่เลวและดี เราก็ไม่ใช่ว่าดีเลิศ ทุกคนมันต้องมีบาดแผลแต่ก็ไม่ควรทำให้คนอื่นติดเชื้อไปด้วย ทุก วันนี้มันเป็นการเมืองแบบหมาหางด้วน คือหมาตัวหนึ่งมันหางด้วน และมันก็กลัวว่ามันจะถูกด่า มันก็เลยเที่ยวไปโฆษณาว่า หางด้วนสิดี เธอหางยาวไม่ดีนะ มาตัดหางด้วนอย่างฉัน”
“คุณทักษิณกำลังสร้างประชาธิปไตย หรือการเมืองแบบหมาหางด้วน เขากำลังสร้างค่านิยมแบบผิดๆ คือตัวเองหางด้วนแล้ว ตัวเองโกงแล้ว ก็เลยมองว่า คนโกงถ้าทำประโยชน์ให้คนพอใจ ก็จะได้คะแนนเสียง เลือกตั้งใหม่ก็จะได้อีก เขาก็จะพยายามเรียกร้องให้ยุบสภาๆ เพราะเขาก็จะมีกลโกงอีก”
“เมื่อก่อนเรารู้ว่าเขาโกงอะไรบ้าง แต่ก็ยังพูดไม่ได้เต็มปากเต็มคำ แต่พอคำตัดสินมันออกมา ทุกอย่างมันชัดเจนมาก กับการทำหน้าที่สื่อหลายๆ คนต้องบอกว่า เป็นกลางๆ แต่ผมบอกตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาทำงานที่ช่อง 11 เลยว่า ความเป็นกลางก็คือความเป็นธรรม ความถูกต้อง หน้าที่เราก็คือการอธิบายให้ทุกคนทราบข้อเท็จจริง”
“เรื่องการเมืองเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ทุกคนต้องมีส่วนร่วม อย่ามาบอกว่าฉันเป็นกลาง กลางผมมองว่าการเลือกข้าง หรือการทำตัวเป็นกลางมันก็คือการแบ่งแยกเหมือนกันนะ กลางมีสองอย่าง กลางคลี่คลายช่วยเหลือแก้ไข กับกลางแบบเอาให้ทะเลาะกันไปแล้วค่อยออกมาแสดงว่าฉันเป็นกลาง เราควรจะเป็นกลางแบบเข้าไปคลี่คลายอาจจะเจ็บตัวหน่อย แต่ว่ามันก็ทำให้ประเทศดีขึ้น คือมันไม่ได้ทำเพื่อตัวเองนะ(ยิ้ม) ก็ไม่รู้จะเชื่อหรือเปล่า คือถ้าทำด้วยตัวเองนะ อยู่เฉยๆ สบายกว่าเยอะ ไม่ต้องเดือดร้อนขนาดนี้”