ปัจจุบันพบว่าการบริโภคเยลลี่เจลาตินกำลังเป็นเทรนด์กำลังมาแรงในญี่ปุ่น โดยการรายงานของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ(DITP)พบกลุ่มผู้ชายหันมาบริโภคเพิ่มขึ้น กลุ่มวัยรุ่นหญิงนิยมซื้อถ่ายรูปลงโซเชียลมีเดีย ล่าสุดมูลค่าตลาดพุ่งแซงหมากฝรั่งแล้วแนะผู้ประกอบการไทยศึกษาแนวโน้มตลาดและวางแผนส่งออก
.
ล่าสุดได้รับข้อมูลจากผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ถึงโอกาสในการขยายตลาดขนมเยลลี่เจลาติน (Gummy Jelly) ในตลาดญี่ปุ่น เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
.
ทั้งนี้มีการรายงานเพิ่มเติมว่า มีผลสำรวจจากบริษัท Intage inc. ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจตลาด ได้ติดตามกลุ่มผู้บริโภคหญิงและชายจำนวน 5 หมื่นคน พบว่า มีความต้องการบริโภคขนมเยลลี่เจลาตินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี 2563 ที่เกิดสถานการณ์โควิด-19 ที่คนอยู่บ้านทำให้ความต้องการขนมเหล่านี้เพิ่มขึ้น
.
โดยสถิติปี 2565 ยอดซื้อขนมเยลลี่เจลาตินเพิ่มขึ้น 91% เมื่อเทียบกับปี 2556 ขนมบิสกิต ช็อกโกแลต และขนมขบเคี้ยวเพิ่มขึ้น 20-30% ขนมลูกอมอัดเม็ดเพิ่มขึ้น 11% สำหรับกลุ่มผู้บริโภคที่ซื้อขนมเยลลี่เจลาตินเพิ่มขึ้นคือ กลุ่มผู้ชายวัย 30-49 ปี เพิ่มขึ้น 234% รองลงมา คือ กลุ่มผู้บริโภคชายวัย 50–69 ปี เพิ่มขึ้น 219%
.
และหากดูสัดส่วนการซื้อกลุ่มผู้บริโภคชายมีสัดส่วนการซื้อเพิ่มขึ้นจาก 16% ในปี 2556 เป็น 20% ในปี 2565 ด้วย ซึ่งเป็นสัดส่วนที่รองลงมาจากกลุ่มผู้บริโภคหญิงวัย 30–49 ปีที่มีสัดส่วน 27% และสูงกว่ากลุ่มผู้บริโภคหญิงวัย 15-29 ปีที่มีสัดส่วน 16%
.
โดยขนมเยลลี่เจลาตินที่กลุ่มผู้บริโภคนิยมซื้อหากเป็นกลุ่มวัยรุ่นหญิงจะซื้อเพื่อนิยมถ่ายรูปลงโซเชียลมีเดีย กลุ่มผู้บริโภคผู้หญิงนิยมรสผลไม้ที่มีความนุ่ม และกลุ่มผู้บริโภคชายวัยกลางคนนิยมรสน้ำอัดลมรสต่างๆที่มีความเหนียว
.
นอกจากนี้ ผลจากการที่ขนมเยลลี่เจลาตินที่เดิมมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อสุขภาพ และผู้ผลิตได้พยายามเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ทำให้มูลค่าตลาดขนมเยลลี่เจลาตินได้แซงหน้ามูลค่าตลาดหมากฝรั่งไปแล้ว โดยผลสำรวจพบว่า ปี 2565 มีมูลค่า 78,100 ล้านเยน (ประมาณ 20,000 ล้านบาท)
.
แซงหน้ามูลค่าตลาดหมากฝรั่ง ที่มีมูลค่า 54,800 ล้านเยน (13,600 ล้านบาท) ซึ่งในปี 2560 มูลค่าตลาดหมากฝรั่งมูลค่า 82,300 ล้านเยน (ประมาณ 20,500 ล้านบาท) และมูลค่าตลาดขนมเยลลี่เจลาตินมูลค่า 55,500 ล้านเยน (ประมาณ 13,800 ล้านบาท)
.