ซีอีโอเกือบ 40% ไม่เชื่อว่า องค์กรของตนจะมีศักยภาพทางเศรษฐกิจได้ภายใน 10 ปี หากไม่เปลี่ยนแปลง
อัตราเงินเฟ้อ ( 40%) ความผันผวนของเศรษฐกิจมหภาค (31%) และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (25%) เป็นภัยคุกคามอันดับต้น ๆ ของโลก ในขณะที่ความเสี่ยงทางไซเบอร์และสุขภาพตกลงจากปีที่แล้ว
ซีอีโอเริ่มลดค่าใช้จ่าย แต่ 60% ไม่มีแผนที่จะลดจำนวนพนักงาน และ 80% ไม่มีแผนลดค่าตอบแทน ทั้งนี้เพื่อรักษาบุคลากรที่มีความสามารถไว้กับองค์กร หลังจากวิกฤต 'การลาออกครั้งใหญ่'
ผู้นำองค์กรในฝรั่งเศส เยอรมนี และสหราชอาณาจักร มีทัศนคติเชิงบวกเกี่ยวกับการเติบโตในประเทศน้อยกว่าการเติบโตทั่วโลก เมื่อเทียบกับสหรัฐ บราซิล อินเดีย และจีน
ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้า การเปลี่ยนกฎระเบียบ การขาดแคลนแรงงาน/ทักษะ และเทคโนโลยีดิสรัปชัน ถูกมองว่าเป็นปัจจัยท้าทายที่สุดต่อความสามารถในการทำกำไรของอุตสาหกรรมในระยะยาว
ซีอีโอมองว่า ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อโครงสร้างต้นทุนและห่วงโซ่อุปทานในช่วง 12 เดือนข้างหน้า 58% กำลังพัฒนากลยุทธ์เพื่อลดการปล่อยมลพิษและลดความเสี่ยงต่าง ๆ จากสภาพภูมิอากาศ
PwC เผยผลการสำรวจซีอีโอทั่วโลกประจำปี ครั้งที่ 26 ซึ่งสำรวจความคิดเห็นของซีอีโอ 4,410 คน ใน 105 ประเทศและดินแดน ระหว่างเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2565 พบว่า ซีอีโอเกือบสามในสี่ (73%) เชื่อว่า การเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะลดลงในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
มุมมองดังกล่าวถือเป็นมุมมองในแง่ลบมากที่สุดของซีอีโอเกี่ยวกับการเติบโตของเศรษฐกิจโลก นับตั้งแต่เราเริ่มถามคำถามนี้เมื่อ 12 ปีก่อน และเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญจากมุมมองที่สดใสในปี 2564 และ 2565 ซึ่งในเวลานั้น ซีอีโอมากกว่าสามในสี่ (76% และ 77% ตามลำดับ) เชื่อว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะดีขึ้น
ซีอีโอเกือบ 40% คิดว่า องค์กรของตนจะไม่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจในช่วงทศวรรษนี้
นอกจากสภาพแวดล้อมที่ท้าทายแล้ว ซีอีโอเกือบ 40% ไม่คิดว่าองค์กรของตนจะมีศักยภาพทางเศรษฐกิจได้ในช่วงสิบปีนี้ หากยังคงดำเนินธุรกิจต่อไปในเส้นทางปัจจุบัน ซึ่งเป็นความคิดเห็นที่สอดคล้องกันในหลายภาคอุตสาหกรรม ได้แก่ โทรคมนาคม (46%) การผลิต (43%) การดูแลสุขภาพ (42%) และเทคโนโลยี (41%) นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นของซีอีโอเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตของบริษัทของตนเองยังลดลงอย่างมากตั้งแต่ปีที่แล้ว (-26%) ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2551-2552 ซึ่งในขณะนั้น ความเชื่อมั่นซีอีโอลดลงไป 58%
เมื่อพิจารณาในระดับโลก พบว่า ความเชื่อมั่นของธุรกิจที่มีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นแตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง โดยประเทศในกลุ่มเศรษฐกิจ จี7 อย่างฝรั่งเศส (70% เทียบกับ 63%) เยอรมนี (94% เทียบกับ 82%) และสหราชอาณาจักร (84% เทียบกับ 71%) ซึ่งล้วนถูกกดดันจากวิกฤตพลังงานที่กำลังดำเนินอยู่ มีทัศนคติในเชิงลบเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตในประเทศมากกว่าการเติบโตทั่วโลก
นอกจากนี้ ซีอีโอยังระบุถึงความท้าทายหลายประการที่ส่งผลโดยต่อความสามารถในการทำกำไรภายในอุตสาหกรรมของตนเองในช่วง 10 ปีข้างหน้า มากกว่าครึ่ง (56%) เชื่อว่าความต้องการ/ความชอบที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้าจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร ตามด้วยการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ (53%) การขาดแคลนแรงงาน/ทักษะ (52%) และเทคโนโลยีดิสรัปชัน (49%)
เงินเฟ้อ ความผันผวนของเศรษฐกิจมหภาค และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นประเด็นที่ซีอีโอกังวลมากที่สุด
ในขณะที่ความเสี่ยงทางไซเบอร์และสุขภาพเป็นปัญหาอันดับหนึ่งในปีที่แล้ว ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเป็นสิ่งที่ซีอีโอกังวลใจมากที่สุดในปีนี้ โดยอัตราเงินเฟ้อ (40%) และความผันผวนของเศรษฐกิจมหภาค (31%) เป็นความเสี่ยงที่ซีอีโอกังวลมากที่สุดในระยะสั้น 12 เดือนข้างหน้า และในอีก 5 ปีข้างหน้า รองลงมาคือ 25% ของซีอีโอรู้สึกถึงความเสี่ยงทางการเงินอันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ในขณะที่ความเสี่ยงทางไซเบอร์ (20%) และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (14%) ลดลงเมื่อเทียบกัน
สงครามในยูเครนและความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในส่วนอื่น ๆ ของโลก ทำให้ซีอีโอต้องคิดทบทวนใหม่เกี่ยวกับโมเดลธุรกิจในด้านต่าง ๆ โดยเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามที่เผชิญกับความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ได้รวมการหยุดชะงักในวงกว้างเป็นส่วนหนึ่งในการวางแผนสถานการณ์และรูปแบบการดำเนินงานขององค์กร ไม่ว่าจะด้วยการเพิ่มการลงทุนด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์หรือความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (48%) การปรับห่วงโซ่อุปทาน (46%) การประเมินสถานะตลาดใหม่ หรือขยายตลาดใหม่ ๆ (46%) หรือการกระจายการนำเสนอสินค้า/บริการให้หลากหลาย (41%)
อ่านข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับเต็มได้ที่ https://www.thaipr.net/finance/3291540