หน่วยวิจัยโรคเขตร้อนมหิดล-อ๊อกซ์ฟอร์ด เผย 4 ผลกระทบหลักจากมาตรการควบคุมการระบาดโควิด-19 ที่ไม่ใช่มาตรการทางการแพทย์ พร้อมถอดบทเรียนในการก้าวผ่านวิกฤติ และข้อเสนอแนะไปสู่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
4 ผลกระทบหลัก ได้แก่ ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจจากความขัดสนทางด้านการเงิน ปัญหาด้านสุขภาวะทางจิตและอารมณ์ ปัญหาทางด้านสังคม และปัญหาจากความกลัวที่จะได้รับการติดเชื้อโควิด-19
แนะภาครัฐให้ข้อมูลที่ชัดเจนและถูกต้องตรงกับข้อเท็จจริง รวมทั้งให้ความช่วยเหลือที่เข้าถึงกลุ่มรากหญ้าและกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด
ชี้ท่ามกลางสถานการณ์แต่คนไทยยังช่วยเหลือและมีน้ำใจซึ่งกันและกัน
หน่วยวิจัยโรคเขตร้อนมหิดล-อ๊อกซ์ฟอร์ด (MORU) ได้เปิดเผยถึงผลการศึกษาวิจัยเชิงลึกเพื่อศึกษาถึงผลกระทบจากมาตรการเพื่อยับยั้งและควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ที่ไม่ใช่มาตรการทางการแพทย์ อาทิ มาตรการการกักตัว การรักษาระยะห่างทางสังคม และการจำกัดการเดินทาง ฯลฯ ในช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 ในระลอกแรก ว่ามีผลกระทบหลักต่อประชาชนชาวไทย 4 ประการหลักด้วยกัน ได้แก่ 1. ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจจากความขัดสนทางด้านการเงิน 2. ปัญหาด้านสุขภาวะทางจิตและอารมณ์ ได้แก่ ปัญหาความเครียด ความเหงาและความท้อแท้ 3. ปัญหาทางด้านสังคม อาทิ การถูกสังคมตีตราและเย้ยหยัน และ 4. ปัญหาจากความกลัวที่จะได้รับการติดเชื้อโควิด-19
ดร. เพ็ญศรี เนมิรัชต นักวิจัยหลักจากหน่วยวิจัยโรคเขตร้อนมหิดล-อ๊อกซ์ฟอร์ด กล่าวว่า “ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจจากความขัดสนทางด้านการเงิน เป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดและก่อให้เกิดความท้าทายต่อประชาชนไทยมากที่สุด โดยผู้เข้าร่วมวิจัยหลายรายได้สะท้อนตรงกันว่าประสบปัญหาทางด้านการเงิน โดยมีสภาวะการเงินที่ขัดสนขึ้น หรือขาดรายได้ไปโดยปริยาย โดยเฉพาะกลุ่มประชากรที่เป็นผู้ประกอบการและแรงงานที่ไม่ได้อยู่ในระบบ อาทิ ร้านอาหารแนวสตรีทฟู้ด แรงงานที่มีรายได้แบบรายวัน กลุ่มแรงงานอิสระ และกลุ่มแรงงานที่ทำงานเกี่ยวข้องกับธุรกิจท่องเที่ยว อาทิ พนักงานนวด ไกด์ และล่าม
นอกจากปัญหาทางด้านเศรษฐกิจแล้ว ปัญหาทางด้านสุขภาวะทางอารมณ์และจิตใจ ก็ถือเป็นปัญหาหลักอีกปัญหาหนึ่ง ทั้งสภาวะความเครียด เหงาและท้อแท้ จากการต้องกักตัวเพียงลำพัง และสภาวะความเครียดจากสภาพทางเศรษฐกิจของครอบครัว ซึ่ง ดร. เพ็ญศรี กล่าวว่า ปัญหาทางด้านสุขภาวะทางอารมณ์และจิตใจถือเป็นปัญหาที่สำคัญ เพราะจากการศึกษาวิจัยเชิงลึก พบว่า ปัญหาเหล่านี้อาจจะนำไปสู่ปัญหาที่รุนแรงยิ่งขึ้น เช่น การเกิดสภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล ความตื่นตระหนก สภาวะป่วยทางจิตใจเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างร้ายแรง ความคิดฆ่าตัวตาย และการฆ่าตัวตาย เป็นต้น
การวิจัยฯ ยังพบปัญหาด้านความอับอายจากการถูกตีตราและเย้ยหยันจากสังคม ซึ่งผู้เข้าร่วมวิจัยหลายรายเปิดเผยถึงความอับอายจากการถูกสังคมตีตราและเย้ยหยันในช่วงวิกฤติโควิด เพียงเพราะตนเป็นผู้ที่ต้องสงสัยหรืออยู่ในกลุ่มต้องสงสัยว่าติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุข
ผู้เข้าร่วมวิจัยที่อยู่กับครอบครัวขนาดใหญ่ หรือมีผู้สูงอายุ และเด็กอาศัยอยู่ด้วยกันในครอบครัวยังเปิดเผยถึงความวิตกกังวลและกลัวที่จะนำเชื้อโควิด ไปติดเพื่อนและสมาชิกในครอบครัว ผู้เข้าร่วมวิจัยรายหนึ่งเปิดเผยว่าตนรู้สึกกลัวการติดเชื้อเป็นอย่างมากเพราะตนอยู่กับพ่อแม่ที่สูงอายุ การได้รับเชื้อจะทำให้เกิดการกระจายเชื้อไปสู่ผู้ที่เป็นที่รักในครอบครัว ผู้เข้าร่วมวิจัยอีกรายหนึ่งกล่าวว่าตนรู้สึกกลัวการติดเชื้อเป็นอย่างมากจนเกิดความเครียด เพราะตนมีลูกเล็กที่บ้าน ซึ่งตนไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรหากติดเชื้อ
การวิจัยยังได้เปิดเผยถึงการก้าวผ่านวิกฤติและวิธีการรับมือของประชาชนไทยว่า ประชาชนส่วนใหญ่ใช้วิธีการที่ผสมผสานทั้งการปฏิบัติตนเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิด เช่น การใช้มาตรการ เว้นระยะห่าง สวมหน้ากาก ล้างมือ ตรวจหาเชื้อ ฯลฯ การหาวิธีลดผลกระทบจากความขัดสนทางการเงิน การหาวิธีลดความเครียด และบรรเทาสุขภาพจิตตนเองโดยใช้ความเชื่อ ศรัทธา และคำสอนตามหลักศาสนาเข้ามาช่วย โดยผู้เข้าร่วมวิจัยหลายรายเปิดเผยถึงวิธีการรับมือกับความทุกข์ ความเครียดที่ผ่านมาโดยใช้หลักคำสอนของพระพุทธศาสนาเข้ามาจรรย์โลงจิตใจ เช่น การนั่งสมาธิ สวดมนต์ ฟังธรรม ผู้เข้าร่วมวิจัยรายหนึ่งกล่าวว่า เน้นหลักเรื่องสัจธรรม ทำใจยอมรับว่าทุกอย่างไม่เที่ยง อยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะเมื่อโควิดหมดไป ก็อาจมีโรคใหม่ๆเกิดขึ้นได้อีกเสมอ
ท่านที่สนใจสามารถอ่านงานวิจัยฉบับเต็มในหัวข้อ “Like a wake-up call for humankind”: Views, challenges, and coping strategies related to public health measures during the first COVID-19 lockdown in Thailand” พร้อมพบกับมุมมองอื่นที่น่าสนใจได้ที่: https://journals.plos.org/globalpublichealth/article?id=10.1371/journal.pgph.0000723