วันที่ 25 พฤษภาคม 2565 ราย
งานข่าวจาก กสทช. เปิดเผยว่าทรูและดีแทคปฎิเสธไม่ขอเข้าร่วมกระบวนการเข้าร่วมโฟกัสกรุ๊ป ด้านคุ้มครองผู้บริโภคและสิทธิพลมือง ที่คณะของนายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา หรือ “หมอลี่” ที่จะจัดขึ้นในวันพฤหัสฯ ที่ 26 พ.ค.นี้
ก่อนหน้านี้ เวทีการจัดการรับฟังความเห็นแบบ “โฟกัสกรุ๊ป” ดังกล่าวถูกตั้งคำถามในแวดวงการวิจัยและ
โทรคมนาคม ว่า เป็นการจัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นที่ถูกต้องตามกระบวนการวิจัยหรือไม่ และจะนับเป็นหนึ่งในสามการจัด “โฟกัสกรุ๊ป” ตามโรดแมปของ กสทช. ที่กำหนดไว้ 3 ครั้งหรือไม่ และรูปแบบที่กำลังดำเนินการอยู่สามารถให้ผลที่น่าเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด
สำหรับโฟกัสกรุ๊ปที่กำหนดไว้ ประกอบด้วย (1) กลุ่มภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง (2) กลุ่มนักวิชาการ (3) กลุ่มผู้บริโภคและประชาชนทั่วไป
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริหารสภาวิจัยแห่งชาติ กำหนดกรอบจรรยาบรรณนักวิจัยขึ้นในวันที่ 8 เมษายน พ.ศ.2541 เพื่อใช้เป็นแนวหลักเกณฑ์ควรประพฤติของนักวิจัยทั่วไป ไม่ว่าสาขาวิชาการใดๆ โดยให้มีลักษณะเป็นข้อพึงสังวรคุณธรรม และจริยธรรมในการทำงานวิจัยเพื่อให้การดำเนินงาน วิจัยตั้งอยู่บนพื้นฐานของจริยธรรม และหลักวิชาการที่เหมาะสม
ซึ่งหลักปฏิบัติข้อหกระบุว่า “…ข้อ 6 นักวิจัยต้องมีอิสระทางความคิด โดย ปราศจากอคติในทุกขั้นตอนของการทำวิจัย นักวิจัยต้องมี อิสระทางความคิด ต้องตระหนักว่า อคติส่วนตน หรือ ความลำเอียงทางวิชาการ อาจส่งผลให้มีการบิดเบือน ข้อมูล และข้อค้นพบทางวิชาการ อันเป็นเหตุให้เกิดผล เสียหายต่องานวิจัย…”
จากหลักการดังกล่าวจึงเป็นที่น่าสังเกต 3 ประเด็น
ประเด็นที่ 1, “หลักแห่งความเป็นกลาง” การที่บอร์ดกสทช.
แต่งตั้งนายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ซึ่งเป็นบุคคลที่มีจุดยืนชัดเจนที่ไม่เห็นด้วยในการควบรวมทรู-ดีแทค มาโดยตลอด ซึ่งสามารถเห็นได้จากข้อมูลที่ประจักษ์ในสื่อ แต่กลับได้รับแต่งตั้งมาเป็นประธานการจัดโฟกัสกรุ๊ป ด้านคุ้มครองผู้บริโภคและสิทธิพลเมือง จะนำมาซึ่งการขาดคุณสมบัติจริยธรรมการวิจัยหรือไม่
ประเด็นที่ 2, “หลักแห่งความยุติธรรมและจริยธรรมการวิจัย” มีกระบวนการเลือกผู้เข้าร่วมโครงการอย่างถูกต้องและยุติธรรม (กระจายกลุ่มตัวอย่าง / ประโยชน์ที่ได้รับอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ลำเอียงต่อกลุ่มใด)
ทั้งนี้ จากการสัมมนา Consumers Forum ของสภาองค์กรของผู้บริโภค เรื่องนโยบายสาธารณะกับปัญหาการควบรวมกิจการโทรคมนาคม เมื่อวันพุธที่ 25 พฤษภาคม 2565 มีผู้ร่วมเสวนา คือ นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา และแสดงจุดยืนในงานว่า ไม่เห็นด้วยกับการควบรวมทรู-ดีแทค แต่กลับได้รับมอบหมายจาก กสทช. ให้เป็นประธานอนุกรรมการด้านคุ้มครองผู้บริโภค
ยิ่งไปกว่านั้นยังปรากฏว่าในวันถัดมาเพียงวันเดียว คือ พฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม 2565 นายประวิทย์จะทำหน้าที่เป็นประธานในการจัดการจัดโฟกัสกรุ๊ป ด้านคุ้มครองผู้บริโภคและสิทธิพลเมือง ในนามกสทช. เพื่อพูดคุยเรื่องการควบรวมทรู-ดีแทค
ประเด็นที่ 3, “หลักแห่งความชอบธรรม” ควรตั้งคำถามว่า คณะอนุกรรมการฯ ด้านคุ้มครองผู้บริโภคและสิทธิพลเมืองมีอำนาจในการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นในวงจำกัด (โฟกัสกรุ๊ป) และกระบวนการที่ดำเนินการเป็นไปตามหลักการวิจัยที่ถูกต้องได้รับการยอมรับหรือไม่
ทั้งนี้ เพราะจริยธรรมงานวิจัยถือเป็นความสำคัญอย่างยิ่ง หากปล่อยให้เกิดการดำเนินการโดยปราศจาการอ้างอิงหลักการด้านจริยธรรมงานวิจัยที่ถูกต้องก็ยากที่ผลลัพธ์จะถูกนำมาใช้โดยที่ทุกฝ่ายให้การยอมรับ การท้วงติงของสังคมจึงเป็นการตั้งคำถามเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้หนึ่งผู้ใดหาประโยชน์จากการทำงานวิจัย เพื่อเอื้อผลลัพธ์ที่ตนคาดหมายล่วงหน้า
เมื่อประเด็นนี้ถูกหยิบยกขึ้นมา ถึงการวางตัวเป็นกลางของนายประวิทย์ ที่ยังคงเดินหน้าขึ้นเวทีแสดงเจตนารมณ์ไม่เห็นด้วยกับการควบรวมในขณะปฏิบัติหน้าที่ ทำให้ความน่าเชื่อถือของการดำเนินการของ กสทช. ที่ต้องเดินตามโรดแมปถูกตั้งคำถาม และทำให้คณะอนุกรรมการอื่น ๆ ทำงานยากขึ้นตามไปด้วย